1 กุมภาพันธ์ 2562 : AIS ประกาศวิสัยทัศน์ปี 2019 เดินหน้านำศักยภาพจากเทคโนโลยี Digital Intelligent ในรูปแบบ Platform ที่พร้อมเป็นรากฐานให้เกิด Innovation และ Digitalization แก่ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Artificial Intelligence, Machine Learning, Robotic และ IoT เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนรวมถึงเป็นตัวกลางส่งต่อองค์ความรู้ให้พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ระบบเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนและพลิกโฉมจาก Digital ตลอดเวลา ผ่านงานสัมมนา AIS ACADEMY for THAIs : Intelligent Nation Series และ AIS Digital Intelligent Nation Showcase ที่นำเสนอเทคโนโลยีสุดล้ำ อาทิ Robotic, รถยนต์ไร้คนขับ, อุปกรณ์ IoTอัจฉริยะ
คณะผู้บริหาร AIS นำโดย นายกานต์ ตระกูลฮุน ประธานกรรมการ, นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นายฮุย เว็ง ชอง กรรมการผู้อำนวยการ ร่วมกันกล่าวถึงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความพร้อมในการเป็น Digital Platform ที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของประเทศ โดย นายกานต์เน้นย้ำว่า “ปีนี้ คือการพลิกโฉมทางอุตสาหกรรมโลกครั้งใหญ่อีกขั้น จากเทคโนโลยี Artificial Intelligence, Machine Learning, Robotic , Data Analytic และ IoT ซึ่งจะส่งผลกระทบในทุกระดับ 3 ส่วน คือ สร้างรูปแบบใหม่ (Redefine) ของวิถีการใช้ชีวิต การทำงาน และการมีปฏิสัมพันธ์ , เปลี่ยนแปลง (Disrupt) รูปแบบของระบบเศรษฐกิจและสังคมไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึง สร้างโอกาสใหม่ในการเติบโต (Emerging new opportunities) ทั้งในกลุ่มธุรกิจและระดับประเทศ ดังนั้นการขับเคลื่อนประเทศด้วย Innovation และ Digitalization ในทุกภาคส่วน จึงยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างไทยแลนด์ 4.0 ที่แข็งแกร่ง หรือ Digital Intelligent Nation และ AIS ในฐานะภาคเอกชนผู้ให้บริการ Digital มีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งกับภารกิจนี้”
โดย นายสมชัย กล่าวว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้ขยายบทบาทสู่การเป็น Digital Platform เพื่อประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดให้ทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องเชื่อมต่อผ่าน Digital Platform และทำงานร่วมกันในลักษณะของEcosystem ก่อให้เกิดพลังในการขยายขีดความสามารถสร้างสรรค์ Innovation หรือ บริการ Digital ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ดังเช่น กรณีของการสร้างระบบนิเวศน์ของอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง หรือ IoT Ecosystem ผ่าน AIS IoTAlliance Program – AIAP : โครงการความร่วมมือของสมาชิกจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับ IoT ซึ่งหลังจากเปิดตัวในปี 61 จนถึงวันนี้ สามารถสร้างสรรค์ IoT Solution และ Business Model ที่ตอบโจทย์การบริหารจัดการ ได้อย่างครอบคลุมและ ขยายเครือข่ายสมาชิกไปมากกว่า 1,000 ราย (จากจุดเริ่มต้นเพียง 70 ราย)”
“AIS จึงยังคงยืนยันวิสัยทัศน์ในการเป็น Digital Platform ภายใต้แนวคิด “SHARING DIGITAL ECONOMY PLATFORM–เศรษฐกิจ Digital แบบแบ่งปัน” ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มและประโยชน์ร่วมกันให้แก่ทุกอุตสาหกรรม ในทุกระดับ ซึ่งแน่นอนว่าท้ายที่สุดจะส่งผลให้ประเทศไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในเวทีโลก”
ด้าน นายฮุย เว็ง ชอง กล่าวยืนยันว่า “เราพัฒนาเครือข่าย Digital อย่างกรณีของ Mobile ซึ่งมีคลื่นความถี่มากที่สุดถึง 120 MHz (60MHzx2) อย่างไม่หยุดยั้ง ดังเช่นปีนี้ได้เริ่มนำเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Wifi6 (802.11ax) มาเริ่มให้บริการในชื่อ AIS Super Wifi+ ที่จะมอบความเร็วได้ถึง 4.8 Gpbs เพิ่มความสามารถในการรองรับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้มากถึง 8 เท่า ตอบโจทย์การเติบโตของ IoT โดยในส่วนของ Fix Broadband นั้น นอกจากจะขยายพื้นที่ให้บริการอย่างต่อเนื่อง ยังเสริมความแข็งแกร่งการบริการ ICT เพื่อองค์กร ที่จะส่งมอบผ่าน CS LoxInfo ในรูปแบบของ One Stop ICT Services อีกด้วย”
“นอกจากนี้ เรายังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเตรียมรองรับเทคโนโลยี 5G อย่างต่อเนื่อง เพราะแม้ว่าจะยังไม่มี business case ที่ชัดเจนแต่ก็เชื่อว่า 5G จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะร่วมขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากคุณสมบัติ 3 ส่วน คือ ความเร็วที่เพิ่มขึ้น, ขยายขีดความสามารถการเชื่อมต่อของ IoTและ เครือข่ายตอบสนองได้รวดเร็วและเสถียรที่สุด ซึ่ง AIS ได้เตรียมเครือข่ายให้พร้อมรับทั้ง 3 ด้านมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น 4.5G ที่เร็วระดับกิกะบิท ,Massive MIMO 32T 32R ครั้งแรกในโลก , NEXT G ,เครือข่าย NB IoT และEMTC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณภาพการตอบสนองของเครือข่าย หรือ Latency ก็ป็นรายแรกที่เริ่มปรับโครงสร้างเครือข่ายหลักที่กระจายอยู่ในแต่ละภูมิภาค (AIS Core Network Architecture Ready for 5G) ให้สามารถสื่อสารตรงไปยังเซิร์ฟเวอร์บริการต่างๆได้ทันที โดยไม่ต้องย้อนกลับมาผ่านศูนย์กลางเครือข่ายในส่วนกลาง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้อัตราการตอบสนองได้เร็วขึ้น เพราะค่า Latency ต่ำ ตอบโจทย์การใช้งานที่เกี่ยวกับความปลอดภัยทางการแพทย์ หรือ อุตสาหกรรมยานยนต์อย่างSelf Driving Car อย่างมีประสิทธิภาพ”
โดยที่ผ่านมา เราได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งในการศึกษา วิจัย 5G เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศ จาก คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และภาคการศึกษา อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในเบื้องต้น ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ ได้ทันทีในวันที่เทคโนโลยีพร้อม”
ส่วนความพร้อมด้านงานบริการในยุคดิจิทัลนั้น นายฮุย กล่าวว่า “ที่ผ่านมาเราทยอยนำเทคโนโลยี Artificial Intelligence, Machine Learning, Robotic มาอยู่ในกระบวนการให้บริการลูกค้า โดยปีนี้จะชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยแนวคิด Unman Service ซึ่งจะเปิดตัวให้ได้สัมผัสอย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้”
โดยนายสมชัย กล่าวในตอนท้ายว่า “ในฐานะองค์กรเอกชนไทย นอกจากการสร้างสรรค์ และ พัฒนา Digital Platform แล้ว เรายังให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาบุคลากรของ AIS ให้พร้อมในทุกมิติผ่าน AIS Academy ซึ่งพร้อมจะช่วยเสริมองค์ความรู้คนไทยให้ตื่นรู้และตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกยุค Digital ด้วยเช่นกัน ครั้งนี้จึงจัดสัมมนา “AIS ACADEMY for THAIs : Intelligent Nation Series” ขึ้นอีกครั้ง โดยเชิญสุดยอดวิทยากรชั้นนำระดับโลกทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และตั้งใจให้เวทีนี้ ตอกย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือที่ภาคส่วนต่างๆ ได้มาแลกเปลี่ยนความคิด ทักษะ และศักยภาพที่แต่ละองค์กรมีอยู่ เพื่อร่วมสนับสนุนให้เกิด Ecosystem ในการขับเคลื่อนองค์ความรู้ เทคนิค วิธีการต่างๆกระจายออกสู่สังคมไทยในวงกว้าง โดย AIS จะเป็นอีกหนึ่งตัวกลางที่พร้อมส่งเสริมในด้านเทคโนโลยี บุคลากรผู้เชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการ Transform องคก์กร เพื่อสร้างความแข็งแรงและเสริมศักยภาพให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างเท่าเทียมต่อไป”
“นอกจากการเตรียมพร้อมด้านองค์ความรู้แล้ว การรู้เท่าทันเทคโนโลยีก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะ Digital นั้นแม้ว่าจะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็อาจก่อให้เกิดโทษได้ ดังนั้นความตั้งใจสูงสุดของ AIS ในฐานะผู้ให้บริการ Digital จึงขออาสาทำหน้าที่ Network Educator ด้วยการส่งต่อแบบชี้วัดความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีดิจิทัล หรือ DQ – Digital Intelligence Quotient ไปสู่เยาวชน รวมถึงพัฒนา Network Protector ที่จะช่วยทั้งป้องกัน ปลูกจิตสำนึก สร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อปลูกฝังและพัฒนาทักษะทางเทคโนโลยีให้เยาวชนพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ประเทศไทย พร้อมต่อการใช้เทคโนโลยี Digital มาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์และยั่งยืนต่อไป”