นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “ตลอดปี 2561ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมโทรคมนาคมยังคงถูก
ท้าทายด้วยความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอ โจทย์สำคัญอยู่ที่การผสมผสานความสามารถของเทคโนโลยียุคใหม่และการเสริมสร้างการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้บุคลากรอย่างมืออาชีพ และที่สำคัญที่สุด คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย โดยภาพรวมผลประกอบการของทั้งปี 2561 รายได้รวมเติบโตขึ้น 7.7% จากปีก่อน ทำให้ยังคงสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเชิงรายได้มากที่สุดในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่กว่า 48% เป็นผลมาจากการใช้งานดาต้าที่เพิ่มขึ้นจาก 6.7 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2560 เป็น 11 กิกะไบต์ต่อเดือนในปี 2561 และมีผู้ใช้งานมือถือ 4G คิดเป็นสัดส่วน 59% ของฐานลูกค้าทั้งหมดกว่า 41 ล้านเลขหมาย สำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์ มีลูกค้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 209,300 ราย หรือคิดเป็นกว่า 20% ของการเติบโตของตลาด ทำให้ปัจจุบัน เอไอเอส ไฟเบอร์ มีลูกค้าจำนวน 730,500 ราย พร้อมทำตลาดต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ Fixed–Mobile Convergence
ขณะเดียวกัน เอไอเอส มีการใช้งบลงทุนรวม 20,198 ล้านบาท และบริหารค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทยังคงสร้างผลกำไรต่อเนื่องเป็นจำนวน 29,682 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน และเสนอจ่ายเงินปันผลคิดเป็น 3.30 บาทต่อหุ้น หรือประมาณ 70% ของกำไรสุทธิ ในวันที่ 18 เมษายน
ปี 2561 เอไอเอส ได้ลงทุนในโครงการสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ทุกหน่วยธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว รวมทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่
1. การประมูลคลื่นความถี่ 1800MHz เพิ่มเติม เพื่อเสริมศักยภาพด้านโครงข่าย 4G ให้เป็นโครงข่ายที่เร็วที่สุดและมีคลื่นความถี่รองรับมากที่สุด ส่งผลให้เอไอเอสเป็นเพียงโอเปอเรเตอร์รายเดียวที่มีคลื่น 1800MHz ยาวต่อเนื่องกันเต็มบล็อก 2x20MHz หรือที่เรียกว่า “Super Block” ทำให้ลูกค้าที่ใช้ 4G ทั่วประเทศ ได้ความเร็วเพิ่มขึ้น 15–30% ในทันที
2. ขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ เพื่อให้บริการ FTTH: Fiber to the Home รองรับการใช้งานของลูกค้าอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอสไฟเบอร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ครอบคลุม 57 จังหวัด กว่า 7 ล้านครัวเรือน
3. การซื้อกิจการ CSL เพื่อขยายการทำธุรกิจในกลุ่มลูกค้าองค์กร (Enterprise Business) โดยเฉพาะในงานบริการด้าน Cloud, Managed ICT Service ด้วยแนวคิดผู้นำบริการ ICT เพื่อองค์กรครบวงจร
4. จับมือร่วมลงทุนกับพันธมิตรชั้นนำของประเทศอย่าง LINE และ Rabbit ให้บริการRabbit LINE Pay เพื่อขยายช่องทางในงานบริการลูกค้าด้าน Mobile Money หรือ e–Walletให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เป็นการเน้นย้ำความสำคัญของการก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของทุกช่วงวัย
สำหรับในปี 2562 เอไอเอส คาดการณ์การเติบโต โดยมีรายได้เติบโตในระดับ mid–single digit และมีอัตราทำกำไร EBITDA ที่ใกล้เคียงกับปีก่อน เป็นผลจากการใช้งาน 4G และการขยายบริการอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์โดยตั้งเป้าหมายลูกค้า 1 ล้านราย ภายในปีนี้รวมถึงผลักดันการดำเนินธุรกิจบริการแก่กลุ่มลูกค้าองค์กร ทั้งในบริการ Data Service, Cloud และ Managed ICT พร้อมวางงบประมาณการลงทุนไว้ 20,000–25,000 ล้านบาท เพื่อเสริมโครงข่าย 4G ให้มีคุณภาพที่ดีอย่างต่อเนื่องและมีโครงข่ายที่สามารถรองรับการต่อยอดไปสู่การใช้งาน 5G รวมทั้งขยายการให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์ ในพื้นที่ใหม่เพิ่มเติม พร้อมลงทุนในธุรกิจ Digital Platform เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
“เอไอเอส ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล จำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อม และพัฒนาสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อนำเอาขีดความสามารถของเทคโนโลยีมาสร้างให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมถึงการเดินหน้าสร้าง Ecosystem กับภาคส่วนต่างๆ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในเวทีระดับสากล โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมสำหรับเทคโนโลยี 5G ที่จะมีส่วนพลิกโฉมและสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ธุรกิจและไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ในอีก 2–3 ปีข้างหน้า” นายสมชัย กล่าวสรุป