การประชุม 3 รอบในวันนี้ เข้าร่วมโดยผู้นำในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มากกว่า 25 ท่าน ภาคธุรกิจค้าปลีกมากกว่า 20 ท่าน และ ภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโลจิสติกส์มากกว่า 25 ท่าน
กรุงเทพฯ (3 กันยายน 2563) – วันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จัดประชุม workshop กับภาคธุรกิจต่างๆ ตามแนวทาง “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ต้องเปิดโอกาสให้คนที่เก่งที่สุด จากทุกภาคส่วน และจากทุกระดับของสังคม ได้ใช้ความรู้ความสามารถ ทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดร. ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เข้าร่วมรับฟัง
นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมสั้นๆ ใจความโดยสรุปว่า “มากกว่าการก้าวผ่านวิกฤตโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งโลกไปให้ได้ ผมคิดว่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่เราควรจะมองไปในอนาคตที่ไกลกว่านั้น และเราควรจะใช้ช่วงเวลานี้ให้เป็นโอกาส ที่จะนำพาประเทศไทยให้ไปอยู่ในจุดที่ดียิ่งขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ผมเชิญทุกท่านมาในวันนี้ เพื่อแบ่งปันมุมมอง ความคิด ในฐานะที่เป็นบุคคลที่สุดยอดในภาคธุรกิจนี้ มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ตรงมายาวนาน ผมอยากทราบว่า ท่านมีมุมมองหรือความคิดในการขับเคลื่อนภาคส่วนของท่านอย่างไร โอกาสของภาคธุรกิจของท่านเป็นอย่างไร อนาคต 3 ปีข้างหน้าภาคธุรกิจของท่านควรจะไปอยู่ที่จุดไหน อุปสรรคคืออะไร เป้าหมายของผม คือผมต้องการเข้าใจประเด็นหลักๆ และเข้าใจโดยลึกจากการฟังตรง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เมื่อเวลาผมพิจารณานโยบาย หรือโครงการที่หน่วยงานต่างๆ นำเสนอ ผมจะสามารถตัดสินใจไปในแนวทางที่จะสนับสนุนวิสัยทัศน์ของพวกท่านได้”
ทั้งนี้ ในวันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563 จัดประชุมกับ 3 ภาคธุรกิจ ได้แก่
• 9.30 – 11.30 น. ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
• 13.00 – 15.00 น. ภาคธุรกิจค้าปลีก
• 15.30 – 17.30 น. ภาคธุรกิจ E-commerce และโลจิสติกส์
การประชุมกลุ่มสุดท้ายของวันนี้ ปิดที่เวลาประมาณ 18.00 น. เป็นกลุ่มภาคธุรกิจ E-commerce และโลจิสติกส์ ซึ่งประกอบไปด้วยสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย นำโดยคุณธนาวัฒน์ มาลาบุปผา นายกสมาคมฯ / CEO Priceza คุณวรวุฒิ สายบัว เลขาธิการสมาคมฯ / CEO Beaitynista คุณณัฐวิทย์ ผลวัฒนสุข กรรมการบริหารสมาคมฯ / CEO LnwShop ดร. อธิปก ไพรเกษตร กรรมการบริหารสมาคมฯ คุณพิมพ์ฐดา สหัชอติเรกลาภ กรรมการบริหารสมาคมฯ / CEO SiamOutlet สมาคมโฆษณาดิจิทัลไทย นำโดยคุณศิวัตร เชาวรียวงษ์ นายก สมาคมฯ / ประธานกรรมการบริหาร กรุ๊ปเอ็ม ประเทศไทย คุณภารุจ ดาวราย อุปนายก สมาคมฯ คุณนรินทร์ เย็นธนกรณ์ กรรมการ สมาคมฯ ฝ่ายมาตรฐานอุตสาหกรรม คุณชาญชัย พงศนันทน์ กรรมการ สมาคมฯ ฝ่ายวิชาการ คุณอนันฑ์ ตีระบูรณะพงษ์ กรรมการ สมาคมฯ ฝ่ายวิชาการ และกูรูในวงการ ได้แก่ คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ CEO และผู้ก่อตั้ง TARAD.COM และคุณผรินทร์ สงฆ์ประชา CEO และผู้ก่อตั้ง NASKET นอกจากนั้นยังประกอบด้วย สมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย นำโดยคุณวัลภา สถิรชวาล ประธานสมาพันธ์ฯ คุณสายัณห์ จันทร์วิภาสวงศ์ ที่ปรึกษา สมาพันธ์ฯ คุณเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ที่ปรึกษา สมาพันธ์ฯ ดร.ชุมพล สายเชื้อ. นายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย คุณปิยะนุช สัมฤทธิ์ รองนายกสมาคมฯ / รองนายกสมาคมธุรกิจคลังสินค้าไซโลและห้องเย็น สมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย นำโดย คุณสุวิทย์ รัตนจินดา ประธาน สมาพันธ์ฯ คุณวิฑูรย์ สันติบุญยรัตน์ เลขาธิการ สมาพันธ์ฯ ดร.ธเนศ โสรัตน์ รองประธาน สมาพันธ์ฯ คุณนิธิธร สุขมนัส รองประธาน สมาพันธ์ฯ คุณนวลศรี ว่องไวทยกรกุล รองประธาน สมาพันธ์ฯ
บางประเด็นจากหลายๆ ประเด็นสำคัญที่ได้มีการนำเสนอ ในการประชุมของ “ภาคธุรกิจ E-commerce และโลจิสติกส์” เช่น
นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย เปิดเผยว่าปัจจุบันยอดขาย e-commerce เทียบกับมูลค่าค้าปลีกโดยรวมในประเทศไทยมีสัดส่วนแค่ประมาณ 2% ขณะที่ในจีนการค้าออนไลน์มีสัดส่วนถึง 24% ดังนั้นการค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของไทยจึงมีโอกาสเติบโตเป็นสิบเท่าได้ในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นเพื่อพัฒนาธุรกิจ e-commerce ไทยให้พัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน สมาคมฯ เสนอภาครัฐให้การสนับสนุนโครงการปั้นผู้ขายออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาทางสมาคมฯ ได้ทำงานร่วมกับนักขายออนไลน์มือโปร สร้างผลงานพัฒนานักขายออนไลน์เพิ่มรายได้จากศูนย์ เป็น 30,000 บาทต่อเดือนจำนวนมากกว่า 500 ราย โดยหากมีการสนับสนุนจากภาครัฐคาดว่าสามารถขยายผลได้อีกถึง 100 เท่า และเห็นผลใน 6 เดือน ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้ให้ประชาชนอย่างยั่งยืน
นายผรินทร์ สงฆ์ประชา ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง NASKET กล่าวว่า e-commerce จะเป็นช่องทางสำคัญของสินค้าไทยในเวทีโลก ขณะที่ธุรกิจ e-commerce ของโลกมีแนวโน้มที่จะมีผู้เล่นรายใหญ่เพียง 2-3 รายจะกุมตลาดถึง 80% ดังนั้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ e-commerce ไทย ตนจึงอยากเสนอให้มีการจัดตั้ง ภาคี e-commerce เพื่อคนไทย
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง TARAD.COM กล่าวว่า ภาครัฐควรออกนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการ หรือตัวกลาง ที่จะช่วยผู้ประกอบการไทยนำสินค้าไทยออกไปบุกตลาดต่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์ ออกนโยบายสนับสนุนพิเศษออนไลน์ นอกจากนี้รัฐบาลควรทำโครงการ “ชิม ช้อป ใช้ ดิจิทัล” เพื่อส่งเสริมการซื้อสินค้าออนไลน์ และส่งเสริมภาคธุรกิจไทยให้เข้าสู่ระบบการค้าออนไลน์มากขึ้น
นายศิวัตร เชาวรียวงษ์ นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัลไทย กล่าวว่า ภาครัฐควรช่วยผู้ประกอบการไทยโดยการร่วมพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้เบื้องต้นทางด้าน e-commerce อยู่แล้วบ้าง หรือมีความสามารถ เอามาต่อยอดเพื่อช่วยให้มีความสามารถมากยิ่งขึ้น และขยายกลุ่มเครือข่าย กระจายตัวออกไปในธุรกิจต่างๆ นอกจากนั้นภาครัฐควรร่วมสนับสนุนเอกชนในการสร้างแพลตฟอร์ม เพื่อให้มีแพลตฟอร์มที่มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ทางด้าน สมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย และ สมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย ได้นำเสนอว่าธุรกิจโลจิสติกส์ มีศักยภาพสามารถสร้างรายได้ใหม่ให้กับประเทศไทยถึงสามแสนล้านบาทต่อปี หากภาครัฐให้การสนับสนุนในสามด้านคือ 1.จัดทำแผนพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ให้เป็นรายได้หลักในแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ 2.จัดตั้ง “สำนักงานโลจิสติกส์แห่งชาติ” และ 3.ออกมาตรการส่งเสริมความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ เช่น ให้ซอฟต์โลน มาตรการภาษี และอื่น ๆ
ทั้งนี้ การประชุมกลุ่มแรกในวันนี้ เป็นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประกอบไปด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน คุณอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด คุณสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด (JLL) ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) คุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) คุณแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลเด้นแลนด์เรสซิเดนซ์ จำกัด คุณสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และคณะ
สรุปประเด็นสำคัญในการประชุมของ “ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” เช่น
นำเสนอให้มีการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคของผู้บริโภคภายในประเทศ ทั้งในส่วนการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัย การซื้อเพื่อการลงทุน และลงทุนบ้านให้เช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ทั้งมาตรการของภาครัฐในเรื่องของภาษี และมาตรการของภาคการเงินในเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อ และอัตราดอกเบี้ย โดยมองว่า นอกเหนือจากการออกมาตรการทางการเงินที่ช่วยผู้บริโภคแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ควรหาวิธีการจูงใจธนาคารต่างๆ ให้มีความต้องการ “อยากปล่อยสินเชื่อ” เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย มีช่องทางในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ และสามารถเข้าถึงเงินกู้ได้
นอกจากนั้นที่ควรให้ความสำคัญอีกหนึ่งมิติ ในฐานะที่ประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากในการเป็นบ้านหลังที่สองของคนทั่วโลก และมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคด้วยปัจจัยบวกหลายๆ ด้าน ซึ่งหากผลักดันได้สำเร็จจะส่งผลประโยชน์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนของแรงงานต่างชาติระดับผู้บริหาร หรือผู้มีทักษะสูง เพิ่มการจ้างงาน เพิ่มรายได้ กำลังซื้อภายในประเทศ และเป็นผลต่อเนื่องต่อภาคธุรกิจต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก การค้า โรงแรม ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
ทั้งนี้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นภาคธุรกิจที่อิงกับความเชื่อมั่นของประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้นภาครัฐต้องเน้นการสร้างความเชื่อมั่น เกี่ยวกับความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อความมั่นคงในการดำเนินชีวิต และประกอบอาชีพของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ คือการสื่อสารข้อมูลเรื่องเศรษฐกิจ หรือโครงการสำคัญๆ ที่จะมีผลต่อการทำมาหากินและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ออกไปสู่ประชาชนให้รับทราบ และมองเห็นอนาคตของตัวเอง เพื่อสามารถวางแผนการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม
และการประชุมกลุ่มสองเป็นภาคธุรกิจค้าปลีก ซึ่งประกอบไปด้วย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย นำโดย คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธาน สมาคมฯ / ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธาน สมาคมฯ / ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดูโฮม จำกัด คุณอัญชนา วิทยาธรรมธัช รองประธาน สมาคมฯ / ที่ปรึกษา บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) คุณสมพงษ์ รุ่งนิรัตติศัย กรรมการ สมาคมฯ / ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด คุณลักษณ์ ถิฐาพันธ์ กรรมการ สมาคมฯ / รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) คุณจักกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด สมาคมศูนย์การค้าไทย นำโดย คุณนพพร วิฑูรชาติ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย / ประธานกรรมการบริหาร บมจ.สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ เซ็นทรัลพัฒนา คุณเสาวนีย์ จรัสเรืองชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ, บมจ เซ็นทรัลพัฒนา คุณนราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการการใหญ่อาวุโส, บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด คุณศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด สมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย นำโดย คุณสุวิทย์ กิ่งแก้วนายก สมาคมฯ คุณบัญญัติ คำนูญวัฒน กรรมการ สมาคมฯ คุณเกริยงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ กรรมการสมาคมฯ และกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด นำโดยคุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คุณมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานส่งเสริมการตลาด
สรุปประเด็นสำคัญในการประชุมของ “ภาคธุรกิจค้าปลีก” เช่น
เสนอว่าภาครัฐควรมีนโยบายส่งเสริมประเทศไทยให้เป็น “สุดยอดการใช้ชีวิตแห่งเอเชีย” (Lifestyle hub of Asia”) โดยเสนอมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยในส่วนระยะสั้นเพื่อพยุงการจ้างงาน และขับเคลื่อนเอสเอ็มอีให้อยู่รอด เสนอแก้นโยบายค่าแรงขั้นต่ำให้สามารถจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมงได้ ซี่งจะนำสู่การจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านอัตรา รวมทั้งออกนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย ด้วยการนำโครงการ “ช้อปช่วยขาติ” ออกมาอีกครั้ง และการกระตุ้นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง โดยลดภาษีนำเข้าชั่วคราวเป็นเวลา 4 เดือน เช่น จาก 30 % เหลือ 10%
นอกจากนั้นยังมีข้อเสนอแนะสำหรับระยะสั้น เพื่อไม่ให้ร้านค้าปิดกิจการ มีการจ้างงานต่อไปและมีเงินหมุนเวียนในระบบรัฐควรปล่อยซอฟท์โลนโดยอนุญาติให้ผู้ประกอบการสามารถนำหลักฐานใบสัญญาเช่ามาใช้พิจารณาปล่อยกู้ได้ ออกโครงการช้อปและเที่ยวช่วยชาติ และเยียวยาลดค่าใช้จ่ายศูนย์การค้า เช่น ลดค่าไฟ ภาษีนิติบุคคล ภาษีป้าย ยืดเวลาการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ไปถึงปี 2566 สำหรับแผนระยะกลาง ควรส่งเสริมยกระดับให้ธุรกิจศูนย์การค้าอยู่ในแผนแม่บทของประเทศเปิดพื้นที่เพิ่มโซนการลงทุนให้ศูนย์การค้า เช่นเดียวกับอีอีซี ส่งเสริม seamless connectivity โดยปรับกฏหมาย ทางเชื่อมอาคาร ลดค่าธรรมเนียมเงื่อนไขเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน ปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจศูนย์การค้า และแผนระยะยาวควรผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก เป็นแหล่งช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวชั้นนำ เทียบชั้นญี่ปุ่น เกาหลี ยกระดับสินค้าไทยให้แข่งขันได้ พร้อมทยอยลดภาษีนำเข้าให้ราคาสินค้าแข่งขันกับต่างประเทศได้