กรุงเทพฯ 8 ตุลาคม 2563 – LINE ประเทศไทย จัดงาน “LINE THAILAND BUSINESS 2020” ฟอรัมธุรกิจแห่งปี นำโดยทีมผู้บริหาร LINE ประเทศไทย พิสูจน์การเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มแห่งอนาคตสำหรับธุรกิจทุกประเภท ด้วยการสร้างนิยามใหม่ของการเติบโตในโลกธุรกิจที่ไม่มีวันกลับเป็นเหมือนเดิมให้แก่แบรนด์ เอเจนซี่ และนักการตลาดชั้นนำ ร่วมด้วยบริษัทวิจัยการตลาดระดับโลกอย่างนีลเส็น ประเทศไทย (Nielsen Thailand)  เผยข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงวิกฤตภัยโควิด-19 พร้อมนำเสนอโซลูชันใหม่ๆ จาก LINE สอดรับกับกระแสโลกที่ก้าวออกจากยุค Globalization สู่ Decentralization ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ

นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า “ในอดีต เราเห็นตัวอย่างของเทรนด์ใหญ่ระดับโลก (Megatrends) มากมายที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น การเชื่อมต่อความเร็วสูง 5G การใช้จ่ายเงินดิจิทัล สงครามทางการค้าระหว่างประเทศ และล่าสุดกับการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ทุกธุรกิจคอยเรียนรู้และเร่งปรับตัว ดำเนินรอยตาม Global อยู่เสมอ แต่ด้วยวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมธุรกิจทั่วโลกครั้งใหญ่ไปโดยสิ้นเชิง ทุกภาคส่วนต่างเร่งรับมือกับโจทย์ใหญ่ คือการก้าวขึ้นสู่โลกออนไลน์อย่างรวดเร็วโดยไม่ได้มีสูตรสำเร็จในการใช้ดิจิทัลรับมือวิกฤตครั้งนี้มาก่อน เราจึงมองว่าการทำธุรกิจแบบ Decentralization ที่ให้ความสำคัญกับภาคส่วนย่อยมากขึ้น สามารถสอดรับการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันนี้ได้เป็นอย่างดี ควบคู่กับเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในปัจจุบัน ทำให้แต่ละภาคธุรกิจต้องนิยามการเติบโตในธุรกิจใหม่ เพื่อความอยู่รอดและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอีกครั้งหลังวิกฤตครั้งใหญ่นี้”

โดยในงาน LINE THAILAND BUSINESS 2020 ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่นีลเส็น ประเทศไทย ได้เปิดเผยข้อมูลและแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไประหว่างช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา โดยสรุปออกมาเป็น 4 ประเด็นสำคัญได้แก่
Basket – ผู้บริโภคมีแนวโน้มเลือกซื้อสินค้าในปริมาณน้อยลง Homebody – ผู้บริโภคนิยมหันมาดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่บ้าน Rational – ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าโดยคำนึงถึงเหตุผลมากขึ้น และ Affordability – ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าโดยคำนึงปัจจัยด้านราคามากขึ้น

ผู้บริโภคกับพฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง

จากข้อมูลเชิงสถิติบนแพลตฟอร์ม LINE ในปัจจุบัน ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมใหม่ๆ ของผู้บริโภคมากมายหลายด้านและมีจำนวนผู้บริโภคที่นิยมชื่นชอบพฤติกรรมเหล่านี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ๆ ในสังคมไทย โดยเราเรียกเทรนด์นี้ว่า “New Human” หรือผู้บริโภคกับพฤติกรรมใหม่ ตัวอย่างเทรนด์นี้ที่เห็นได้ชัดคือกระแสซีรีส์วายพลิกจากความชอบเฉพาะกลุ่มสู่พฤติกรรมกระแสหลักของผู้ชมชาวไทยก่อนจุดติดเป็นกระแสซีรีส์วายฟีเวอร์ทั่วเอเชีย สร้างกลุ่มแฟนตัวจริงหรือ Fandom ที่พร้อมสนับสนุนนักแสดงซีรีส์วายในดวงใจ ก่อให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ Y-Economy ด้วยการใช้ศิลปิน นักแสดงเป็นกลไกนำไปสู่ความจงรักภักดีต่อแบรนด์และการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากข้อมูลผลสำรวจโดย LINE ประเทศไทยยังพบว่าร้อยละ 80 ของผู้ชมซีรีส์วายชาวไทยคือเกือบ 20 ล้านคนนิยมดูซีรีส์วายผ่านช่องทาง LINE TV เป็นหลัก

บรรทัดฐานใหม่ในการเก็บข้อมูลไม่พึ่งพาคนกลาง

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา จนเกิดเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการเก็บข้อมูลหรือ “New Rule” ที่อาจส่งผลต่อทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งในฝั่งแพลตฟอร์มและฝั่งแบรนด์ การเก็บข้อมูลโดยตรงจากลูกค้า (First-party data) จึงเป็นทางออกที่ทุกกลุ่มธุรกิจควรให้ความสำคัญ และควรเริ่มเตรียมตัว ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ วิธีดำเนินธุรกิจให้สอดคล้อง รองรับมาตรการเหล่านี้ให้ทันท่วงที ซึ่ง LINE เล็งเห็นความสำคัญของ First-party data และเปิดให้แบรนด์สามารถเก็บข้อมูลโดยตรงจากลูกค้า ผู้ใช้งานด้วยโซลูชันและเครื่องมือบนแพลตฟอร์ม LINE มานานเกือบ 3 ปีผ่าน LINE Business Connect for CRM (BCRM) ที่ช่วยบริการจัดการฐานข้อมูลลูกค้าบน LINE Official Account และ Mission Stickers สติกเกอร์ที่ผู้ใช้งานจะได้รับเมื่อทำภารกิจตามที่แบรนด์กำหนด เช่น การเพิ่มเพื่อนบน LINE การตอบแบบสอบถาม เป็นต้น ซึ่งทั้งสองเครื่องมือ สามารถช่วยให้แบรนด์ได้รับข้อมูลโดยตรงจากลูกค้าได้อย่างถูกต้อง โปร่งใส ในจำนวนมหาศาลภายในเวลาอันรวดเร็วถึงนับล้านโปรไฟล์ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ โดยในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา LINE มีฐานข้อมูลสะสมที่ได้รับโดยตรงจากผู้ใช้งานมากกว่า 300 ล้านโปรไฟล์รวมจากทุกแบรนด์ที่ใช้บริการ ในงานนี้ LINE ยังคงมุ่งเน้นให้ความสำคัญของการเก็บและใช้ประโยชน์ของดาต้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการประกาศเปิดตัวโซลูชันใหม่ล่าสุด MyCustomer ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ผ่าน LINE OA ให้กับแบรนด์ได้ดีและลึกยิ่งขึ้น ยกระดับระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าแบบครบวงจรหรือ CRM (Customer relationship management) บน LINE ในแบบเดิมๆ สู่การเป็น CDP – Customer Data Platform หรือแพลตฟอร์มสำหรับจัดการข้อมูลลูกค้าแบบใหม่ ซึ่งมีแผนจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการปีหน้า

อิทธิพลและพลังของเอเชียเหนือทั่วโลก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเอเชียได้ก้าวเข้ามาเป็นขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก เฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มูลค่าการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ใน 3 ไตรมาสแรกมีมูลค่ารวมกว่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ1 มากกว่าทวีปอเมริกาเหนือกว่า 3 เท่า ส่งให้เอเชียกลายเป็น “New Power” ที่อิทธิพลและพลังเหนือภูมิภาคอื่นทั่วโลก โดยหากวัดเฉพาะผู้บริโภคของไทย ประเทศไทยขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกในด้านการช้อปปิ้งผ่านโซเชียลมีเดียมาตั้งแต่ปี 25592 โดยเฉพาะ Chat Commerce ซึ่งมีผลสำรวจเผยว่า เป็นช่องทางการซื้อขายรูปแบบ E-Commerce ที่ดีที่สุดสำหรับเอสเอ็มอีไทย หากวัดจากผลตอบแทนจากการลงทุนหรือ ROI – Return on Investment3  จึงอาจกล่าวได้ว่า Chat Commerce คือช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับการขายสินค้าแบบ E-Commerce ที่เหมาะและตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยได้อย่างลงตัว LINE จึงได้เปิดให้บริการ MyShop เครื่องมือที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพ LINE OA ด้านการขายของ ด้วยระบบหน้าร้านออนไลน์ ระบบจัดการสต๊อกสินค้า เป็นต้น ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยพบว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (Gross Merchandise Value) ของ MyShop มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 17 เท่านับตั้งแต่เปิดให้บริการมา

จากความสำเร็จนี้ LINE ได้เดินหน้าแนะนำเครื่องมือและโซลูชันใหม่ๆ เพื่อการเติบโตของทุกธุรกิจไทยภายใต้ความเปลี่ยนแปลงสู่ยุค Decentralization ออกมาอีกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อผู้บริโภคไทย และภาคธุรกิจไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น MyRestaurant โซลูชันสำหรับจัดการบริการต่างๆ ด้านธุรกิจอาหารบน LINE OA ภายใต้ความร่วมมือจาก LINE MAN Wongnai ช่วยดูแลธุรกิจอาหารตั้งแต่บนโลกออนไลน์ถึงหน้าร้านและบริการจัดส่งอย่างครบวงจร Event Stickers สติกเกอร์รูปแบบใหม่ที่แบรนด์สามารถกำหนดยอดดาวน์โหลดได้เองเพื่อควบคุมงบประมาณได้ตามต้องการ เป็นการขยายฐานให้กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถเข้าถึงโซลูชันนี้ในการทำธุรกิจได้มากขึ้น เช่น การแจกสติกเกอร์ให้กับผู้ร่วมงานอีเวนท์ตามจำนวนที่กำหนด การแจกสติกเกอร์สำหรับลูกค้าที่ได้ซื้อสินค้าที่กำหนดไว้ในจำนวนจำกัดเท่านั้น เป็นต้น ซึ่งพร้อมเปิดให้แบรนด์สามารถใช้งานโซลูชันนี้ได้แล้ววันนี้! และอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือการเปิดตัว LINE OA Store แหล่งรวมเครื่องมือและโซลูชันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ LINE OA ในด้านต่างๆ ทั้งที่พัฒนาจาก LINE เอง และจากองค์กรนักพัฒนาภายนอก รวมไว้ในที่เดียว ซึ่งนอกจากจะมีช่องทางหลักให้ธุรกิจสามารถเลือกใช้เครื่องมือ โซลูชันได้ตามจุดประสงค์ ความต้องการแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมศักยภาพของนักพัฒนาไทย ให้มีตลาดในการนำเสนอผลงานทางด้านเทคโนโลยีสำหรับภาคธุรกิจได้อย่างจริงจัง โดยมีแผนเปิดให้ใช้งานภายในสิ้นปีนี้เช่นเดียวกับ MyRestaurant

“ธุรกิจไทยยังมีความท้าทายข้างหน้ารออยู่ในโลกหลังโควิด-19 โดย LINE พร้อมที่จะนำเสนอโซลูชันใหม่ๆ เพื่อพลิกนิยามของการเติบโตทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ให้แก่ทั้งแบรนด์ นักการตลาด และเอสเอ็มอี ตลอดจนยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ให้สะดวกสบายขึ้นไปอีกขั้น กระแสตอบกลับต่อเหตุการณ์ครั้งใหญ่ของโลกแบบเฉพาะตัวอันแตกต่างไปตามแต่ละท้องที่หรือ Decentralization ได้สร้างโอกาสการเติบโตของธุรกิจไทยโดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ตามอีกต่อไปโดย LINE พร้อมยืนเคียงข้างธุรกิจไทยเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน” นายนรสิทธิ์ กล่าวสรุป

Comments

comments