16 ตุลาคม 2563 – ในไตรมาสที่ 3/63 ดีแทคยังคงมุ่งเน้นให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องด้านประสิทธิภาพการดำเนินงานและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล ตลอดจนการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจและสอดคล้องความต้องการของผู้บริโภคคนไทย โดยยึดหลักการให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “เรายินดีที่เห็นถึงรูปแบบการปรับตัวใช้งานดิจิทัลที่มีแนวโน้มสูงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเป็นช่วงหลังจากการผ่อนคลายมาตรการปิดประเทศและมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมแล้วก็ตาม และดีแทคกำลังเดินหน้าพัฒนาทางดิจิทัลเพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าและการทํางานภายในองค์กร ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจต่าง ๆ ที่มีการปรับตัวไปสู่วิธีการทำงานที่สามารถรองรับในระยะยาว และด้วยแรงผลักดันที่แข็งแกร่งในการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล เรายังคงมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อจากการแพร่ระบาดของโควิด -19
เพื่อช่วยบรรเทาความกดดันของผู้บริโภคจากผลกระทบที่ยืดเยื้อทางเศรษฐกิจ ดีแทคยึดมั่นในจุดยืนที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่สอดคล้องกับความต้องการในสิ่งจําเป็นขั้นพื้นฐานของลูกค้าแต่ละกลุ่ม และด้วยการที่เราเห็นถึงตลาดผู้บริโภคที่มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เราได้ร่วมพันธมิตรในเชิงกลยุทธ์กับหลาย ๆ กลุ่มธุรกิจ เพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์และบริการที่สอดคล้องกับความต้องการเหล่านี้เข้าถึงฐานผู้บริโภคชาวไทยได้ดีขึ้น เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์และสิทธิพิเศษได้อย่างทั่วถึง ในขณะเดียวกันดีแทคได้เปิดตัว ดีแทค บิสิเนส (dtac Business) สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร โดยเป็นโซลูชั่นที่ง่ายและใช้ได้อย่างสบายใจไร้กังวล ครอบคลุมทั้งซิม โซลูชั่น IoT และคลาวด์โซลูชั่น พร้อมทั้งนำเสนอช่องทางให้บริการดิจิทัล ซึ่งพัฒนามาจากความเข้าใจที่แท้จริงของปัญหาธุรกิจ และด้วยการพัฒนาเครือข่ายที่เป็นไปตามเป้าหมาย เรามั่นใจในคําสัญญาที่จะมอบการเชื่อมต่อที่มีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่องสำหรับทุกคน”
ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/63 ดีแทคมีฐานลูกค้าจำนวนทั้งสิ้น 18.7 ล้านราย ลดลง 107,000 รายในไตรมาสนี้ ซึ่งน้อยกว่าการลดลงในไตรมาสที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ จํานวนลูกค้าที่ลดลงเป็นผลจากการฟื้นตัวที่ล่าช้าและการแข่งขันที่มีความรุนแรง รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่า IC ในไตรมาส 3/63 ลดลงร้อยละ 1.7 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 7.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนขณะที่รายได้จากค่าบริการหลักในไตรมาส 3/63 ลดลงร้อยละ 1.4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน EBITDA ลดลงร้อยละ 4.3 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 3.0 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจากรายได้ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความไม่แน่นอนในส่วนของรายได้ แต่ EBITDA margin (normalized) ของผลประกอบการ 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ร้อยละ 46.8 ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 อันเป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กำไรสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 3/63 มีมูลค่าจำนวน 1.4 พันล้านบาท
นายดิลิป ปาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “แม้ว่าการเติบโตของรายได้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนและสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เรามั่นใจในการบริหารจัดการทางการเงินที่มีวินัย ไตรมาสนี้เป็นอีกไตรมาสหนึ่งที่ดีแทคยังคงไม่เห็นการกลับมาของนักท่องเที่ยวตลอดทั้งไตรมาส เรายังคงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาบริการเพื่อสร้างประสบการณ์เครือข่ายที่ดีที่สุดแก่ฐานลูกค้าคนไทยพร้อมไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งเมื่อรวมกับการเดินหน้าเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล เรามั่นใจว่าดีแทคพร้อมที่จะสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว
ดีแทคได้ปรับแนวโน้มสำหรับปี 2563 ในส่วนของรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่า IC ในปี 2563 จากตัวเลขติดลบหลักเดียวระดับต่ำ เป็นตัวเลขติดลบหลักเดียวระดับกลาง ในขณะที่คงแนวโน้มที่เหลือเหมือนเดิม คือ EBITDA ในจํานวนใกล้เคียงปี 2562 และค่าใช้จ่ายลงทุนที่ 8-10 พันล้านบาท
ตัวเลขสำคัญทางการเงินในไตรมาส 3/63
• มีรายได้จากการให้บริการ ไม่รวมค่า IC มูลค่า 1.44 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.7 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
• EBITDA อยู่ที่ 7.8 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.3 จากไตรมาสก่อนและร้อยละ 3.0 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
• EBITDA margin (normalized) อยู่ที่ร้อยละ 47.7
• กำไรสุทธิ อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท