กรุงเทพฯ, 12 กุมภาพันธ์ 2564 – จากสถานการณ์การระบาดของโควิด–19 ทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2020 ที่ผ่านมา ผลการรับมือสถานการณ์จากประเทศฝั่งเอเชียถือว่าทำได้ดี เมื่อเทียบกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ในการรับมือของกลุ่มประเทศแถบตะวันตกที่พรั่งพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีและเงินทุน ผลครั้งนี้มิใช่เป็นเพียงแค่เรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาด แต่ยังเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจต่อไปในทั่วโลกที่เข้าสู่ยุคใหม่ที่เอเชียเป็นผู้นำ ดังที่เห็นในภาคธุรกิจของประเทศไทยในปีที่ผ่านมา การเร่งสปีดเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างกะทันหันท่ามกลางสถานการณ์แวดล้อมที่เปลี่ยนไป ระเบียบการป้องกันการระบาดที่เคร่งครัดมากขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่างกัน วิถีการดำเนินธุรกิจ การทำการตลาดในรูปแบบเดิมๆ ตามหลักสากลที่ทำกันมาช้านานทั่วโลก จึงไม่สามารถช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดหรือเติบโตต่อไปได้แล้วในปัจจุบัน
LINE ประเทศไทย แพลตฟอร์มดิจิทัลแห่งอนาคตสำหรับทุกธุรกิจเล็งเห็นถึงประเด็นความสำคัญนี้ เผย 4 เทรนด์การทำธุรกิจในไทย ในวันที่หลักสากลอาจไม่ใช่หนทางการเติบโตที่เห็นผลชัด และเมื่อศักยภาพของเอเชียมุ่งพร้อมสู่การเป็นอนาคตใหม่ของเศรษฐกิจโลก โดยมุ่งชี้แนะแบรนด์และนักการตลาดไทยตื่นตัว ปรับเปลี่ยน สร้างกลยุทธ์ธุรกิจในแบบฉบับตนเอง ไม่เพียงเพื่อให้อยู่รอด แต่เพื่อรับมือการแข่งขันอันดุเดือดในปีนี้ และเติบโตอย่างต่อเนื่องไปได้ในระยะยาวในโลกดิจิทัล
Data is New Oil ยังคงเป็นหลักในการทำการตลาดออนไลน์อยู่เสมอ แต่เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันบนโลกดิจิทัลอย่างแท้จริงในปีนี้ การทำ Data Marketing เพียงผิวเผิน โดยไม่มีการสร้างฐานข้อมูลลูกค้าเป็นของตนเอง บวกกับปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายการตั้งค่าบล็อก Third-Party Cookies เป็นค่าเริ่มต้นจากแพลตฟอร์มต่างๆ จะยิ่งกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญในการเติบโตบนโลกดิจิทัล ธุรกิจไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่จะหันมาให้ความสำคัญกับการมีข้อมูลของลูกค้าเป็นของตนเอง (1st Party Data) โดยต้องเป็นข้อมูลที่ลูกค้าอนุญาต ด้วยการสร้าง CDP หรือ Customer Data Platform เป็นของตนเอง เพื่อเดินหน้าสู่การทำ ‘Advanced Data Marketing’ ยกระดับโครงสร้าง ระบบการทำธุรกิจบริการในทุกภาคส่วน (Full-Loop) ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำสู่วิถีดิจิทัล ไม่ใช่เพื่อการสื่อสาร การตลาดเพียงอย่างเดียว โดยใช้ดาต้ามาพัฒนาตั้งแต่ระบบภายในองค์กรสู่ Cross-Functional Integration คือการ Sync หรือแชร์ดาต้าภายในแผนกต่างๆ ร่วมกันได้ดีกว่าเดิม ต่อยอดไปถึงการพัฒนา Co-Brand Campaign ให้แม่นยำมากขึ้น รวมไปถึงการนำเอาดาต้ามาวางแผน Customer Journey ที่เชื่อมต่อทุก Touchpoint ของธุรกิจให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อสร้างประสบการณ์การอันไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ตัวอย่างแบรนด์ที่เริ่มสร้าง CDP และมีการนำดาต้ามาสร้าง Journey ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น Starbucks และ Central ที่มีการใช้ข้อมูล 1st Party Data ที่ได้รับอนุญาตจากลูกค้าผ่าน LINE Official Account มาเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลลูกค้าของตนเองจากช่องทางต่างๆ มาสร้างประสบการณ์การใช้งานของสมาชิกแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
LIVE Commerce ที่เหมาะกับคนไทยและจะเห็นมากขึ้นในปีนี้โดยคาดว่าแบรนด์จะมองหาลูกเล่นมาสร้างสีสัน ความสนุกในโลกของ LIVE Commerce มากขึ้น และ Shoppertainmentจะกลายเป็นรูปแบบหลักที่ผลักดันให้ LIVE Commerce เติบโต เห็นได้จากรายการ TuesLive x LINE SHOPPING รายการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ผสานกลิ่นอายวาไรตี้ความบันเทิงที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดวิวทะลุเกิน
5 แสนคนในทุก Ep. และสามารถสร้างยอดขายสูงสุดจากแบรนด์เดียวได้มากถึงหลายแสนบาทภายใน 1 ชม. จาก Ep. ล่าสุดอีกด้วย
นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ LINE ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “การเดินหน้าทำธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2021 นี้ ถือเป็นความท้าทายระลอกสองที่ทั่วโลกต่างต้องเผชิญไปพร้อมๆ กัน โดยไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวใดๆ มาเป็นหลักบรรทัดฐานอีกต่อไปแบรนด์ควรให้ความสำคัญในเรื่องของพฤติกรรม ความชื่นชอบของกลุ่มเป้าหมายในตลาดนั้นๆ เป็นหลัก โดยเฉพาะตลาดเอเชียรวมถึงไทย ที่ผู้ใช้มีพฤติกรรม ความชื่นชอบที่แตกต่างจากโลกตะวันตกโดยสิ้นเชิง การตลาดที่จะดึงดูด มัดใจกลุ่มเป้าหมายนี้ได้ ก็ควรแตกต่างและเป็นในแบบฉบับสำหรับคนไทย คนเอเชียด้วยกัน โดยมีรากฐานจาก Insight หรือข้อมูลดาต้าที่แน่นและแม่นยำ โดย LINE พร้อมเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยขับเคลื่อนให้ทุกธุรกิจในไทยสามารถเดินหน้าเพื่อเติบโตต่อไปได้ตาม 4 หลักธุรกิจดังกล่าวนี้ และขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการไทยทุกท่านไม่ย่อท้อ ร่วมกันสร้าง ร่วมกันวางกลยุทธ์ธุรกิจตนเองในแบบที่ใช่
เพื่อเดินหน้าต่อไปในปี 2021 นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”