ดีแทคชูความสำคัญหนุนอุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างยั่งยืน เดินหน้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 พร้อมยกระดับเครือข่ายพื้นฐานเฉพาะองค์กร ติดปีกอุปกรณ์ IoT และหุ่นยนต์ นำอุตสาหกรรมเติบโตสู่ศูนย์กลางการผลิต ชี้ต้องปรับตัวอย่างทันท่วงที ดีแทคชู 5G Private Network ความปลอดภัยสูงเมื่อผสานกับการประมวลผลเอดจ์ คอมพิวติ้ง สามารถออกแบบขนาดได้ตรงความต้องการ เพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยี Massive IoT, Artificial Intelligence (AI), Machine Learning (ML), Augmented Reality (AR), Virtual Reality (VR), และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ ดีแทคจัดสาธิตผ่านกล้องอัจฉริยะร่วมกับ เอดับบลิวเอส สโนวบอล เอดจ์ (AWS Showball Edge) อุปกรณ์ที่มาพร้อมสตอเรจและการประมวลผลบนคลาวด์คอมพิวติ้งจากเอดับบลิวเอส ซึ่งนอกจากจะสามารถรับส่งข้อมูลระหว่างสถานที่ต่างๆ กับคลาวด์ของเอดับบลิวเอสแล้ว อุปกรณ์ชิ้นนี้ยังสามารถทำการประมวลผลและรองรับเอดจ์คอมพิวติ้งได้อีกด้วย
พลิกฟื้นอุตสาหกรรมทะยานสู่ประสิทธิภาพดิจิทัลเต็มรูปแบบ
ดีแทคมองแนวโน้มอุตสาหกรรมต้องใช้ปัจจัยเทคโนโลยีหนุนให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน โดยประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการลงทุนอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานผลิตรถยนต์ โรงงานสินค้า ระบบขนส่งสินค้า ท่าเรือขนส่งสินค้า และสนามบิน ที่มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศและก้าวสู่การฟื้นตัวหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 พร้อมทั้งปรับตัวสู่การรองรับพฤติกรรมใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยดีแทคได้ร่วมกับ AWS พิสูจน์การใช้งานเครือข่ายส่วนตัวขององค์กรร่วมกัน
นายราจีฟ บาวา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจองค์กรและธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “เทคโนโลยี 5G Private Network จะมาปลดล็อกอุตสาหกรรมและกลุ่มผู้ประกอบการที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยต้องเร่งวางแผนระยะยาวหลังวิกฤตโควิด-19 ที่ต้องพัฒนาสู่การใช้งาน IoT แอปพลิเคชัน ซึ่งจะก่อให้เกิดนวัตกรรมการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในอุตสาหกรรมและองค์กรต่างๆ ที่มีความหลากหลาย ด้วยความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถออกแบบได้เฉพาะตามความต้องการของแต่ละองค์กรที่มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ให้บริการหรือผลิตสินค้าที่มีความเฉพาะกลุ่ม (Vertical Industry) เช่น อุตสาหกรรมภาคการผลิต การประกอบรถยนต์ กลุ่มท่าเรือขนส่งสินค้า กลุ่มคมนาคมขนส่ง กลุ่มสาธารณสุข กลุ่มการเกษตร เป็นต้น”
กลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มองค์กรต่างๆ ได้ใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นหลักทุกองค์กร แต่ความสำคัญคือการเปลี่ยนผ่านที่จะนำ IoT หุ่นยนต์ เครื่องจักร และระบบอัตโนมัติต่างๆ มาใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย ดังนั้น เครือข่ายเฉพาะองค์กรจึงมีความสำคัญยิ่ง วันนี้ 5G Private Network จึงมาตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและระบบอัตโนมัติของกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งต้องการเครือข่ายที่มีความปลอดภัย ความเร็วสูงในการรับส่งข้อมูล ตอบสนองการทำงานแบบทันทีทันใดด้วยความหน่วงต่ำ (low latency) พร้อมวางใจได้ด้วยการรับรอง Service Level Agreement (SLA) ในการเชื่อมต่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
“นอกจากการสร้างพื้นฐานเครือข่ายสู่องค์กรธุรกิจยุคใหม่ด้วย 5G Private Network จะทำให้สามารถใช้งานเครือข่ายด้วยประสิทธิภาพสูงสุดที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานเฉพาะขององค์กรแล้ว ยังสามารถป้องกันการเชื่อมต่อเครือข่ายภายนอกที่ต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งข้อมูลรับ-ส่ง และเสี่ยงต่อการโจมตีจากผู้ไม่หวังดีหรือแฮกเกอร์ที่สามารถใช้ช่องทางเจาะเครือข่ายบุกรุกเข้ามาภายในองค์กรเพื่อเข้าถึงดาต้าหรืออุปกรณ์ IoT ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัย” นายราจีฟ กล่าว
ดีแทค 5G Private Network พร้อมให้บริการ 2 รูปแบบเปลี่ยนอนาคตเพื่อองค์กรยุคใหม่
- เครือข่ายเฉพาะองค์กรสมบูรณ์แบบ (Standalone Private Network) อุปกรณ์เครือข่ายทั้งหมดรวมทั้งระบบ Edge computing จะถูกติดตั้งแยกอิสระ ใช้งานเฉพาะในองค์กร (Completely Isolated System) ด้วยอุปกรณ์สถานีฐาน 5G คลื่น 26GHz และระบบ Local Core แยกจากเครือข่ายสาธารณะ การรับ-ส่งประมวลผลอย่างสมบูรณ์แบบจะอยู่ในพื้นฐานเครือข่ายองค์กรเท่านั้น สามารถวางใจในความเร็วในการรับส่ง ความหน่วงต่ำ (low latency) และความปลอดภัยสูงสุด (superior security)
- เครือข่ายไฮบริด (Hybrid Private Network) ที่เชื่อมต่อด้วย 5G และ 4G โดยใช้อุปกรณ์สถานีฐานที่ติดตั้งในองค์กรร่วมกับเครือข่ายภายนอก (Public RAN) และประมวลผลข้อมูลผ่านระบบ Edge Computing และ Local Gateway ที่แยกอิสระในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ดีแทคสาธิตใช้งาน 5G Private Network
ดีแทคได้ผนึกกำลังกับบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ AWS ผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งที่มีบริการครบถ้วนที่สุดและมีผู้ใช้งานจำนวนมาก จัดทดสอบ PoC (Proof-of-Concept) สำหรับ 5G Private Network และ Edge Computing เพื่อสาธิตการใช้งานจริงให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่ดีแทคเฮ้าส์ ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้งานกล้องอัจฉริยะในการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ (Video Analytic) เพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงานของ5G Private Network และ Edge Computing บนพื้นที่เฉพาะในดีแทค
นายฟาบิโอ เชอโรเน่ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม ประจำภาคพื้นยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา บริษัทอะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส กล่าวว่า “เอดับบลิวเอสมีความยินดีที่ได้ร่วมกับดีแทคในการนำเสนอบริการใหม่ที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G และเอดจ์คอมพิวติ้ง เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานในบางอุตสาหกรรมที่ต้องการความหน่วงต่ำ การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเอดจ์คอมพิวติ้ง ที่ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้ใกล้กับแหล่งกำเนิดข้อมูล จะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยเช่น ปัญญาประดิษฐ์ และแมชชีนเลิร์นนิ่ง เอดับบลิวเอสมีความมุ่งมั่นที่อย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับดีแทคเพื่อนำเสนอนวัตกรรม และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าต่อๆ ไป”
ทั้งนี้ 5G Private Network นั้น เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเริ่มต้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ดังนั้น นอกจากความร่วมมือดังกล่าวกับ AWS แล้ว ดีแทคยังร่วมกับพาร์ทเนอร์สำคัญต่างๆ อีกด้วย และรวมทั้งได้ร่วมกับเทเลนอร์ในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากการทำPrivate Network ของเทเลนอร์ในยุโรปซึ่งได้ทำ Private Network สำหรับใช้งานกับระบบป้องกันความปลอดภัย บริการด้านสุขภาพอนามัย ระบบค้าปลีก และโรงงานผลิตหุ่นยนต์ โดยได้ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ทีมดีแทค ประกอบกับจำนวนคลื่นความถี่ที่ได้รับอนุญาต (Licensed spectrum) รวมทั้งคลื่น 26GHz สามารถรองรับการให้บริการ 5G Private Network ที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มองค์กร