องค์กรต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกให้ความสนใจในนวัตกรรมคลาวด์เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้องค์กรเพิ่มความรวดเร็ว ความคล่องตัว และประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างฉับไว ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในรายงานฉบับล่าสุดที่จัดทำโดยซิสโก้ และบอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (Boston Consulting Group – BCG)
รายงานเกี่ยวกับอนาคตของคลาวด์ในเอเชีย-แปซิฟิก (The Future of Cloud in Asia Pacific) เปิดเผยว่า การใช้จ่ายงบประมาณโดยรวมสำหรับเทคโนโลยีคลาวด์ในภูมิภาคนี้คาดว่าจะสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2567ตามข้อมูลจากการ์ทเนอร์ โดยการลงทุนในระบบคลาวด์มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 20% ต่อปีนับตั้งแต่ปี 2561เป็นต้นมา นอกจากนี้ สิงคโปร์เป็นหนึ่งในสามประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกที่มียอดใช้จ่ายด้านไอทีโดยรวมสูงสุด โดยครอบคลุมทั้งในส่วนของแอปพลิเคชัน แพลตฟอร์ม โครงสร้างพื้นฐาน และบริการ ในส่วนของภูมิภาคอาเซียน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม จัดอยู่ในกลุ่มผู้นำในแง่การเติบโตของการใช้จ่ายด้านคลาวด์ โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 25% ต่อปีภายในปี 2567
นาวีน เมนอน ประธานประจำภูมิภาคอาเซียนของซิสโก้ กล่าวว่า “ซิสโก้นำเสนอโซลูชั่นที่ใช้ได้กับทุกระบบคลาวด์เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทคโนโลยีคลาวด์ ด้วยระบบการตรวจสอบที่ครบถ้วนสมบูรณ์ของซิสโก้ ช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบและจัดการโครงสร้างพื้นฐานและแอปพลิเคชันได้อย่างครบวงจร เชื่อมต่ออย่างปลอดภัย พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานแอปพลิเคชันสำหรับในอนาคต การลงทุนด้านคลาวด์จะยังคงเป็นวาระสำคัญที่ต้องพิจารณาในการประชุมของผู้บริหารองค์กร ขณะที่องค์กรต่างๆ ดำเนินการออกแบบและพัฒนาระบบคลาวด์เพื่อรองรับอนาคต”
ข้อมูลจากรายงานดังกล่าวยังระบุถึงแนวทางที่องค์กรต่างๆ ในภูมิภาคนี้ใช้ประโยชน์จากพับบลิคคลาวด์ ไพรเวทคลาวด์ และไฮบริดคลาวด์ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้สอดรับกับความต้องการด้านธุรกิจ การดำเนินงาน และดิจิทัล รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น กฎระเบียบ ความเสี่ยง การขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคอื่นๆ และความต้องการด้านข้อมูล ทั้งนี้ ความท้าทายที่สำคัญสำหรับองค์กรในยุคดิจิทัลปัจจุบันก็คือ ‘ความเข้าใจในการจัดการการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคลาวด์ในลักษณะที่ราบรื่น ไร้รอยต่อ และปลอดภัย’
พราซานนา สันฐานาม กรรมการผู้จัดการและหุ้นส่วนของบอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป, สิงคโปร์ กล่าวว่า “ไม่มีโซลูชั่นแบบ one-size-fits-all สำหรับโรดแมปของคลาวด์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจและไอทีจำเป็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับนวัตกรรมคลาวด์ที่หลากหลายและซับซ้อน รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ความท้าทายและความเสี่ยงของแต่ละแนวทางทั้งในระยะกลางและระยะยาว ขณะที่องค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับการพลิกฟื้นธุรกิจให้แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในโลกวิถีใหม่ นวัตกรรมคลาวด์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการสร้างแผนธุรกิจที่ต่อเนื่องและยั่งยืน”
รายงานฉบับนี้จำแนกประเภทขององค์กร 5 ประเภท ตามระดับของ Cloud Journey ได้แก่ Digital Native, Cloud Optimizer, Cloud Pragmatist, Cautious Adopter และ Cloud Onlooker พร้อมระบุถึงคุณลักษณะขององค์กรแต่ละประเภท รวมถึงข้อมูลวิเคราะห์ และบริบทที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ด้านคลาวด์ขององค์กรเหล่านี้
จากข้อมูลการจำแนกประเภทขององค์กรตามที่ระบุข้างต้น รายงานฉบับนี้ได้นำเสนอเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้บริหารองค์กรธุรกิจกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับ cloud journey
ในงานแถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ มร. เมนอน ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “ในการจัดทำแผนการพัฒนาธุรกิจหลังการแพร่ระบาด แต่ละองค์กรมีแนวทางที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการที่เฉพาะเจาะจงขององค์กรนั้น รวมถึงส่วนงานที่จะต้องโฟกัสเป็นพิเศษ ในอดีตผู้ให้บริการคลาวด์มักจะมองว่าคลาวด์คือความมุ่งหวังหรือเป้าหมายสูงสุดสำหรับลูกค้า และตอนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าแนวการพัฒนาสู่แพลตฟอร์มคลาวด์จำเป็นที่จะต้องได้รับการออกแบบและปรับแต่งให้สอดคล้องกับธุรกิจของลูกค้าแต่ละราย ขณะที่องค์กรต่างๆ กำลังก้าวเข้าสู่โลกของไฮบริดคลาวด์เพื่อรองรับการทำงานจากที่บ้านในอนาคต ความท้าทายที่สำคัญก็คือ องค์กรจำเป็นที่จะต้องจัดการการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคลาวด์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ”
รายงานผลการศึกษาให้รายละเอียดเกี่ยวกับ 4 ขั้นตอนของการปรับใช้เทคโนโลยีคลาวด์ ซึ่งองค์กรสามารถจัดทำแผนงานตามขั้นตอนนี้โดยไม่จำเป็นต้องยึดถือตามกรอบเวลามาตรฐานที่แน่ชัด แต่โดยทั่วไปแล้วจำเป็นที่จะต้องมี‘ทริกเกอร์’ สำหรับการเปลี่ยนย้ายไปสู่ขั้นตอนถัดไป เช่น ความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป หรือแผนงานทางด้านดิจิทัลขององค์กรที่มีการเปลี่ยนแปลง