บริษัท แมคฟิว่า จำกัด (MCFIVA) ที่ปรึกษากลยุทธ์และสื่อดิจิทัลชื่อดัง จับกระแสคริปโตบูม บุกตลาดโฆษณาบน Telegram เป็นเจ้าแรกในไทย ย้ำจุดยืนด้าน Result-Driven Marketing Consultancyเข้าถึงลูกค้าตรงกลุ่ม ตอบโจทย์ พร้อมลุยตลาด ในธุรกิจ Metaverse / Blockchain / NFT Cryptocurrency แบบ One-Stop Service

            วรัชญา อุรุพงศา Chief Digital Officer บริษัท แมคฟิว่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากกระแสความสนใจในการลงทุนบิทคอยน์หรือคริปโตเติบโตขึ้นอย่างทวีคูณและมีสื่อโฆษณาไม่มากที่สามารถเข้าถึง Community เหล่านี้ได้โดยตรง แมคฟิว่าจึงเล็งเห็นโอกาสที่จะนำโฆษณา Telegram เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนและนักธุรกิจเป็นหลัก การสื่อสารผ่านออนไลน์ไปยังกลุ่มนี้ต้องการความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสูง ซึ่งจุดเด่นของ Telegram นั้นเน้นให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยของผู้ใช้งานและ เป็น Social Media หลักของกลุ่มคริปโตที่ใช้ในการพูดคุย ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของตลาดคริปโต สื่อโฆษณาบน Telegram จึงเข้ามาเป็นโซลูชั่นในการทำ Communication ได้ตรงกลุ่ม ประสิทธิภาพสูงและ คุ้มค่า”

“คนเริ่มหันมาใช้ Telegram กันมากขึ้น เพราะมีฟีเจอร์ที่แตกต่างจาก Social Media อื่น เช่น มีจำนวนสมาชิกในกลุ่ม (Channel) ได้มากถึง 200,000 คน ข้อความแชทและไฟล์ที่ใช้ส่งนั้นเป็นส่วนตัวและปลอดภัยไม่ต้องห่วงข้อมูลรั่วไหล มีแชทลับที่สามารถกำหนดเวลาในการส่งข้อความหรือลบข้อความได้ รวมถึงสามารถส่งไฟล์รูปแบบใดก็ได้ในน้ำหนัก 2 GB จึงเป็นอีก Social Media ที่น่าจับตามอง เพราะว่าในปี 2021 นี้มียอดดาวน์โหลดทั่วโลกเป็นอันดับ 1 โดยเติบโตขึ้น 25% ประจำทุกปี โดยแบ่งเป็นเพศชาย 67% เพศหญิง 33% อายุ 25-34 ปี จำนวน 38% อายุ 18-24 ปี จำนวน 17% และ อายุ 35-44 ปี จำนวน 17% ตามลำดับ ส่วนในด้านความสนใจจะเป็นเรื่อง IT จำนวน 47% Music 46% และ Science & Tech จำนวน 42% ตามลำดับ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังทรัพย์ มีอาชีพที่มั่นคง และสนใจด้าน IT ที่เกี่ยวกับคริปโตเป็นอันดับ 1 จึงนับว่าเป็น Community platform ที่เหมาะกับยุคนี้เป็นอย่างมาก และ แมคฟิว่ามีเครือข่ายของกลุ่มบน Telegram (Telegram Channel Network) ที่สามารถเลือกกลุ่ม (Channel) หรือ หมวดประเภทของกลุ่ม (Channel Category) ที่ต้องการโฆษณาได้ เช่น หมวดคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrencies) หมวดธุรกิจ (Business) หมวดการเงินและการลงทุน (Finance and Investment) หมวดสุขภาพและกีฬา (Health and sport) หมวดอสังหาริมทรัพย์ (Real estate) หมวดอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Drink) เป็นต้น โดยโฆษณามี 2 ประเภท คือ 1) Advertising Post แสดงผลโฆษณาเป็นเนื้อหาพร้อมทั้งสามารถใช้ปุ่มCall to action โดยแอดมินของ Channel จะมีการปรับเนื้อหาให้สอดคล้องตามสไตล์ของ Channel  2) Post in Chat แสดงผลโฆษณาบริเวณข้อความแชทที่ถูกปัดหมุดไว้ โดยสามารถกดเพื่อดูภาพและเนื้อหาของโฆษณาตัวเต็มได้” วรัชญา กล่าวสรุป

พิรีญา วิริยะพันธุ์ Chief Operating Officer บริษัท แมคฟิว่า (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวเสริมว่า “เรามั่นใจว่า Telegram จะเข้ามาช่วยเติมเต็มการให้บริการแบบ Result-Driven Marketing Consultancy บริหารจัดการให้360 องศา ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ในการสื่อสารผ่าน Telegram โดยสร้าง Telegram account มีแอดมินดูแล เพิ่มผู้ติดตามบน Telegram ผลิตคอนเทนต์ (Content) และโฆษณา (Ads) เพื่อให้เหมาะกับแต่ละคอมมูนิตี้ รวมไปถึงการยิงโฆษณาไปยังกลุ่ม (Channel) ที่ผู้ติดตามให้ความสนใจสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ เพื่อผลตอบแทนจากการลงทุน ROI หรือ Return on Investment ได้เพื่อให้ทุกเม็ดเงินที่ใช้ไปคุ้มค่าและแคมเปญมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งในวันนี้เราพร้อมเป็นผู้นำในการรุกตลาดคริปโต และไม่ได้มองแค่การทำตลาดในประเทศไทยเท่านั้น แต่เราพร้อมช่วยลูกค้าบุกตลาดทั่วโลก”

นอกจากนั้นแมคฟิว่า ยังเผยถึง 3 เทรนด์ดิจิตอลปี 2022 ที่แบรนด์ต้องจับตา มีดังนี้

1) Digital Transformation โลกเปลี่ยนไว ทำไมต้องทำทุกอย่างเอง: หมดยุคของการ Build แล้วที่แต่เดิมหลายแบรนด์มักจะสร้าง Tool ขึ้นมาเอง เพราะยังไม่มีตัวเลือกมากนักที่จะปรับใช้ให้สอดคล้องกับธุรกิจ ซึ่งลงทุนสูงและช้า ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการผู้บริโภค ในยุคถัดมา Buy หลายแบรนด์จึงหันมาซื้อ Tool เพื่อนำมาปรับใช้กับองค์กรได้ทันที ซึ่งมี Tool ของต่างประเทศเกิดขึ้นมากมายที่รองรับความต้องการส่วนนี้ แต่ยังคงมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก จึงเหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น และปัจจุบันที่ควร Borrow เพราะถึงยุคที่ต้องยืมเครื่องมือจากStart up มาใช้ ซึ่งเป็น Tool ที่พร้อมใช้งาน เพราะผ่านการคิดจาก Pain point ทั้งด้านองค์กรและผู้บริโภคให้แล้ว จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก เรียกได้ว่า “ถูก ดี และเร็ว” โดยแมคฟิว่า มีบริษัทพาร์ทเนอร์อย่าง RISE ที่มี MARTech Start Up ทั่วโลกมากที่สุด จะเข้ามาช่วยแนะนำ Tool ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ลดต้นทุนขององค์กร ทำให้องค์กรของคุณเติบโตได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น อย่างเช่น Hato Hub ที่เป็น Online Storefront Solution โดยสามารถกดสั่งอาหารและชำระเงินได้ผ่าน Line Official Account พร้อมทั้งติดตามสถานะการจัดส่งของตัวแทน Food Delivery ได้อีกด้วย

2) Metaverse โลกเสมือนจริงที่พาผู้คนทำกิจกรรมผ่านออนไลน์ ถึงเวลาที่แบรนด์ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพื่อทำให้ลูกค้าได้มีประสบการณ์ซื้อของหรือร่วมแคมเปญได้ง่ายขึ้นและสนุกมากขึ้น โดยใช้ประโยชน์ของโลกเสมือนจริง (VR) เช่น ใช้ในการเลือกซื้อสินค้าในห้าง สามารถมองผ่านสมาร์ทโฟนเพื่อดูราคาสินค้า เลือกใส่ตระกร้าแล้วกดชำระเงินได้ทันที ซึ่งสามารถทำได้ที่หน้าร้านหรือที่บ้านก็ได้เช่นกัน หรือจำลองการใช้สินค้าโดยไม่ต้องไปที่ร้านค้าผ่านกล้องของสมาร์ทโฟน เป็นต้น โดยแมคฟิว่าได้ทำให้แก่แบรนด์ Enfa มีการร้างโลกเสมือนจริงของงาน Enfa Future Brain Expo เป็น VR 360 องศา Educational Exhibition สามารถเข้าโซนต่างๆเพื่อให้ลูกน้อยได้เสริมพัฒนาการได้ด้วย VR หรือ Device ต่างๆผ่านออนไลน์ได้เลย ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการจัดงานอีเว้นท์ได้ดี

3) Decentralized world เทรนด์การซื้อ-ขายสินทรัพย์ใดๆได้แบบไร้ตัวกลาง อ้างอิงจากข้อมูลของ Google Trend และ Google Adwords พบว่าคนสนใจเรื่องคริปโตในปีนี้สูงขึ้นกว่า 60% ของประชากรไทย และมีการค้นหาคำที่เกี่ยวกับ “คริปโต” “บิทคอยท์” มากกว่า 1 ล้านครั้งต่อเดือน จึงเห็นได้ชัดว่าคริปโตมาแรง หลายแบรนด์จึงควรรีบปรับตัวและทำแคมเปญที่รองรับเทรนด์นี้ อาทิ เปลี่ยนจากแจกของรางวัลเป็นแจกเหรียญคริปโต รองรับการชำระเงินด้วยเหรียญคริปโต สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งแมคฟิว่าได้มีโอกาสทำ Digital Communication ให้แก่ CryptoExchange และ DeFi platform หลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Zipmex, Killswitch ,Avareum จึงมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความเข้าใจด้านนี้เป็นพิเศษ

“ถือเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปีที่แมคฟิว่าก่อตั้งมา โดยที่แมคฟิว่า ยังพร้อมเป็นที่ปรึกษากลยุทธ์และสื่อดิจิทัล และก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ไปด้วยกัน” คุณพิรีญา กล่าวทิ้งท้าย

Comments

comments