วันนี้ VMware, Inc. (NYSE: VMW) เปิดตัว VMware vSphere+ และ VMware vSAN+ โซลูชันที่จะช่วยให้องค์กรสามารถนำประโยชน์ของระบบคลาวด์มาประยุกต์ใช้กับโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่บน On-Premise โดยไม่กระทบกับเวิร์กโหลดหรือโฮสต์ที่ใช้งานอยู่ ใน งาน VMworld 2021 ได้มีการแสดงตัวอย่างเทคโนโลยีที่เรียกว่า Project Arctic ซึ่งเป็นโซลูชั่นใหม่ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดย เป็นการจัดการโครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์แบบรวมศูนย์ มีระบบ IntegratedKubernetes การเข้าถึงบริการไฮบริดคลาวด์รูปแบบใหม่ รวมถึงโมเดลค่าใช้จ่ายที่ยืดหยุ่น
คริช ปราซา รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปของ VMware Cloud Platform Business กลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์ VMware กล่าวว่า “VMware vSphere+ และVMware vSAN+ ได้แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการครั้งสำคัญของโซลูชันที่ลูกค้ารู้จักและให้ความไว้วางใจมานาน ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ ณ ตำแหน่งใดบนเส้นทางการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและการดำเนินการตามกลยุทธ์คลาวด์ โซลูชัน vSphere+ และ vSAN+ จะช่วยเพิ่มความเร็วในการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยนำประโยชน์ของคลาวด์มาประยุกต์ใช้กับโครงสร้างพื้นฐานและเวิร์กโหลดของระบบที่อยู่บน On-Premise พร้อมกับการจัดการที่ง่ายขึ้นและมีโมเดลค่าใช้จ่ายที่มีความยืดหยุ่น”
VMware vSphere+ และ VMware vSAN+ ได้รวมเอาความสามารถเชิงกลยุทธ์ของ VMware Cloud เพื่อมอบโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสามารถที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายโซลูชัน vSphere+ และ vSAN+ จะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานบริการไฮบริดคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นมา รองรับการทำงานของแอปพลิเคชันที่มีความสำคัญต่อธุรกิจขององค์กรให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการกู้คืนข้อมูลจากความเสียหายและการป้องกันแรนซัมแวร์ สามารถเข้าถึงความสามารถใหม่ การรักษาความปลอดภัย รวมถึงการอัปเดตผลิตภัณฑ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้สะดวกต่อการบริหารจัดการ โดยไม่ต้องทำการเปลี่ยนแปลงแอปพลิเคชันหรือฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานอยู่
แกรี่ เฉินผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ IDC ฝ่าย Software Defined Compute กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของระบบบน On-Premise ด้วยการให้บริการคลาวด์เป็นเทรนด์ที่IDC มองว่าจะได้รับความสนใจจากองค์กรต่างๆ เป็นอย่างมาก ด้วยการเปิดใช้งานไฮเปอร์ไวเซอร์ ที่เป็นที่แพร่หลายผ่านบริการคลาวด์ ผู้ใช้จะสามารถเรียกใช้งานความสามารถและนวัตกรรมต่างๆได้ทันที พร้อมด้วยความสามารถในการบริหารจัดการอย่างเต็มประสิทธิภาพจากบริการคลาวด์ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ ขยายการใช้งานของ Kubernetes และ DR โดยในอนาคต โซลูชัน vSphere+ และ vSAN+ จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ให้ทันสมัยได้อย่างรวดเร็ว”
ด้าน วิชาล กุปตา CIO ของ Lexmark กล่าวว่า “VMware vSphere ทำให้เส้นแบ่งระหว่างระบบ On-Premise และคลาวด์นั้นบางลง การผสมผสานกันระหว่างโมเดลการทำงานบนคลาวด์ร่วมกับเครื่องมือที่คุ้นเคยจะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเรา”
การทำงานที่มีความเรียบง่ายด้วยโครงสร้างการจัดการพื้นฐานแบบรวมศูนย์
ภายใต้แรงกดดันในการปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มประสิทธิผล ทีม Operations กำลังมองหาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ในหลาย ๆ กรณี สภาพแวดล้อม vSphere ของลูกค้าจะถูกแยกกระจายไปในสถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงคลาวด์ ทำให้มีความซับซ้อนในการปฏิบัติงานรวมถึงการบำรุงรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ
โซลูชัน vSphere+ และ vSAN+ มีความสามารถในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานแบบรวมศูนย์สำหรับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย โดยผ่าน VMware Cloud Console ซึ่งจะทำหน้าที่ในการจัดการรายการต่างๆ โดยมีการกำหนดค่า การแจ้งเตือน การดูแลระบบ และแจ้งสถานะความปลอดภัยของระบบบน On-Premise ผู้ดูแลระบบสามารถจะปฎิบัติงานผ่าน VMware Cloud Console ได้โดยตรงได้อย่างมั่นใจ เช่น การจัดการการกำหนดค่าและการปรับใช้นโยบายในระหว่างการขึ้นใช้งานระบบ นอกจากนี้ ลูกค้ายังจะได้รับประโยชน์จากวงจรในการบริหารจัดการที่เรียบง่ายผ่านระบบอัตโนมัติที่เปิดใช้งานบนระบบคลาวด์ สำหรับการอัปเดตส่วนประกอบโครงสร้างพื้นฐานของ On-Premise ลูกค้ายังจะได้ประโยชน์จากการแก้ไขข้อมูลต่างๆ บนคลาวด์ รวมถึงความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลของการกำหนดค่าต่างๆ และการตรวจสอบความปลอดภัยเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดขององค์กร รวมถึงกฏข้อบังคับที่ต้องการ
เร่งความเร็วของนักพัฒนาด้วยการทำงานร่วมกับ Kubernetes
ทีมนักพัฒนามุ่งเน้นที่การปรับปรุงแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานเดิมให้ทันสมัยเพื่อส่งมอบซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพด้วยความรวดเร็วโดยมีแพลตฟอร์มที่รองรับเวิร์กโหลดแบบ VM และคอนเทนเนอร์ที่ควบคุมโดย Kubernetes โซลูชัน vSphere+ ทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของระบบ On-Premise สำหรับองค์กรที่พร้อมใช้งานแพลตฟอร์มของ Kubernetes รวมถึงการจัดเตรียม IaaS consumption แบบมัลติคลาวด์ ทั้งนี้โดยการขยายขีดความสามารถของ VMware Tanzu Standard Runtime ทำให้นักพัฒนาสามารถเรียกใช้และจัดการระบบKubernetes ที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งครอบคลุมทั้ง On-Premise พับบลิกคลาวด์ และ edges การรวม VMware Tanzu Mission Control Essentials จะช่วยให้ลูกค้ามองเห็นภาพรวมของโครงสร้าง Kubernetes ที่ใช้งานอยู่ ทำให้งานการปฏิบัติงานเป็นรูปแบบอัตโนมัติ
ขยายขอบเขตของระบบ On-Premise ด้วยบริการไฮบริดคลาวด์ที่ไร้รอยต่อ
องค์กรสมัยใหม่ต้องการบริการคลาวด์แบบบูรณาการ พร้อมทั้งการบริการคลาวด์เพิ่มเติมในการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง การกู้คืนข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการป้องกันแรนซัมแวร์ได้ดียิ่งขึ้น ด้วย โซลูชัน vSphere+ และ vSAN+ ลูกค้าจะยังคงมีค่าใช้จ่ายเท่าเดิม โดยจะได้รับประโยชน์จากความสามารถที่เพิ่มขึ้นของVMware Cloud ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากขั้นตอนในการป้องกันที่พร้อมใช้งานที่เป็นบริการเสริมบนคลาวด์ที่ถูกรวมเข้ากับสภาพแวดล้อมในการทำงานโดยตรง ซึ่งรวมถึง VMware Cloud Disaster Recovery, การป้องกันแรนซัมแวร์และการบริการกู้คืนข้อมูลที่เกิดจากภัยพิบัติ นอกจากนี้ยังมีบริการเสริมใหม่ๆบนคลาวด์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและจะสามารถให้บริการได้ในอนาคต
การใช้งานที่ง่ายขึ้นผ่านโมเดล Subscription ที่มีความยืดหยุ่น
ด้วยโซลูชัน vSphere+ และ vSAN+ องค์กรต่างๆ จะสามารถเลือกใช้โซลูชันที่จำเป็นซึ่งสอดคล้องกับงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับการปรับใช้กับระบบ On-Premise ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการใช้งานในแต่ละแห่ง ลูกค้าจะได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจาก SKU ที่ได้รวมเอาส่วนประกอบที่จำเป็นทั้งหมด (รวมถึง VMware vCenter, VMware ESXi, Tanzu Standard Runtimeและ Tanzu Mission Control Essentials) พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนต่างๆ อีกด้วย
ทั้ง โซลูชัน vSphere+ และ vSAN+ เป็นข้อเสนอใหม่และคาดว่าจะพร้อมให้ใช้งานภายในสิ้นไตรมาสที่ 2 ปีของปี 2023 (29 กรกฎาคม 2565) โซลูชัน VMware Tanzu Mission Control Essentials เป็นส่วนประกอบของ vSphere+ และคาดว่าจะพร้อมให้ใช้งานในไตรมาสที่ 3 ของปี 2023
อ่านความคิดเห็นเพิ่มเติมของพันธมิตรเกี่ยวกับ vSphere+ และ vSAN+
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
เกี่ยวกับ VMware
ซอฟแวร์ที่มีประสิทธิภาพ ของ VMware ได้มีส่วนขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานแบบดิจิทัล ที่สามารถรองรับการทำงานของ คลาวด์ รองรับแอพพลิเคชันที่ทันสมัย ระบบเครือข่าย ระบบรักษาความปลอดภัย พื้นที่การทำงานแบบดิจิทัล ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถทำงานได้ทุกแอพพลิเคชัน บนทุกคลาวด์ กับอุปกรณ์ทุกชนิด VMware มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Palo Alto, California VMware มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้องค์กรของคุณก้าวสู่เวทีระดับโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ https://www.vmware.com/company.html
VMware, VMworld, vCenter, Tanzu, VMware vSAN+, vSphere+ และ ESXi เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนหรือเครื่องหมายการค้าของ VMware, Inc. หรือบริษัทในเครือในสหรัฐอเมริกาและเขตอำนาจศาลอื่นๆ บทความนี้อาจมีไฮเปอร์ลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่นที่ไม่ได้จัดทำโดย VMware ซึ่งถูกสร้างและดูแลโดยบุคคลภายนอกที่รับผิดชอบเนื้อหาบนเว็บไซต์ดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว
อ่าน: 1,163
Comments
comments