จากการรักษาความปลอดภัย ไล่ไปถึงควอนตัม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จนกระทั่งระบบเอดจ์ขึ้นไปยังคลาวด์ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าโลกดิจิทัลของเรากำลังพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วยอัตราที่เร็วกว่าที่เคยเป็น และด้วยการรบกวนที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนี้ จึงกลายเป็นเรื่องยากที่จะจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงการเริ่มต้นทำสิ่งอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเฝ้าดูเรื่องเล็กน้อยอย่างบิต ไบต์ ความเร็ว การฟีดข้อมูลและอื่นๆ จากทั้งหมดที่ได้ยินมา นี่คือสิ่งที่กำลังสร้างแรงกดดันเป็นอย่างมากให้กับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง หรือ CIOs ดังนั้น ในปีนี้ แทนที่จะพูดถึงการคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างที่เคย เรามาพูดถึงสี่เทคโนโลยีเกิดใหม่ที่สำคัญและสิ่งที่ CIOs สามารถดำเนินการจัดการสิ่งเหล่านี้ได้ในปัจจุบัน มาลองพิจารณาปณิธานแนวทางการแก้ปัญหาใหม่ในปี 2023 ในรายละเอียดดังนี้
1) อย่าใช้คลาวด์โดยที่ยังไม่เข้าใจถึงค่าใช้จ่ายในระยะยาว ที่ผ่านมา มีเสียงจาก CIOs ว่าความตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากคลาวด์คอมพิวติ้งกำลังทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเกินงบเนื่องจากไม่ได้คิดถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์ว่าจะกระจายความสามารถการทำงานด้านไอทีผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ (cloud providers)ต่างๆ กันได้อย่างไร รวมถึงว่าจะทำให้ผู้บริหารเหล่านี้ทำงานร่วมกันอย่างไร นี่คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องตรวจสอบโมเดลการวิเคราะห์ คำนวณ และการจัดสรรทรัพยากรที่ใช้อยู่อย่างจริงจัง รวมไปถึงต้องดูว่าในส่วนไหนที่คุณจะปรับเปลี่ยนเพื่อที่จะได้สามารถเข้าไปจัดการวางแผนและควบคุมทั้งข้อมูลและเวิร์กโหลดบนคลาวด์ต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นโดยไม่เพิ่มความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายแอบแฝง
2) กำหนดแผนการควบคุม (control plane) ของ Zero Trust ให้ชัดเจน คุณจำเป็นที่ต้องมีเทคโนโลยีในการยืนยันตัวตนที่เชื่อถือได้และกรอบการจัดการภัยคุกคาม ในปีนี้ เราจะยังคงเห็นความต้องการกรอบการทำงาน zero trust ที่เพิ่มมากขึ้นในอุตสาหกรรม ที่ต่างมองหา ยกตัวอย่าง สิ่งที่เป็นรูปแบบเดียวกับข้อกำหนดที่สร้างขึ้นโดยรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาที่มีผลกระทบที่เป็นแรงกระเพื่อมทั่วโลกต่ออุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ แบบนี้แล้วควรเริ่มต้นที่ไหนดี หากคุณไม่มีแผนการควบคุมที่กำหนดไว้เป็นอย่างดี รวมไปถึงมีอำนาจการดูแลควบคุมเหนือสภาพแวดล้อมแบบมัลติคลาวด์ คุณจะจัดการการยืนยันข้อมูลตัวตน นโยบาย ตลอดจนภัยคุกคามที่ต้องสอดคล้องกันสำหรับทั้งองค์กรโดยรวมได้อย่างไร การรักษาความปลอดภัยในมัลติคลาวด์ จำเป็นที่จะต้องสอดคล้องและไปในแนวทางเดียวกัน ที่สำคัญ การทำงานแบบไซโลคือศัตรูของการรักษาความปลอดภัยแบบ zero trust อย่างแท้จริง
3a) สร้างชุดทักษะเริ่มต้นเพื่อการใช้ประโยชน์จากควอนตัม ปัจจุบัน ควอนตัมกำลังกลายเป็นความจริง และหากคุณยังไม่มีคนในองค์กรที่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าควอนตัมจะเข้ามามีอิทธิพลต่อธุรกิจอย่างไร คุณมีโอกาสที่จะพลาดคลื่นทางเทคโนโลยีนี้อย่างแน่นอน สิ่งที่ควรต้องทำคือการกำหนดทีมทำงาน เครื่องไม้เครื่องมือ ตลอดจนภารกิจต่างๆ ที่คุณจะมอบให้ควอนตัมและเริ่มต้นการทดลอง ในช่วงไม่นานที่ผ่านมา เดลล์ เทคโนโลยีส์ได้ประกาศเปิดตัว โซลูชัน Dell Quantum Computing สำหรับ on-premises ที่จะช่วยให้องค์กรในอุตสาหกรรมต่างๆ สามารถเริ่มใช้ประโยชน์จากการประมวลผลแบบเร่งด่วนผ่านเทคโนโลยีควอนตัม ดังนั้น การกำหนดทีม กำหนดเครื่องมือ และภารกิจคือสิ่งสำคัญ การลงทุนในการจำลองทางควอนตัมและการทีมวิทยาศาสตร์ข้อมูลและ AI ได้เรียนรู้ภาษาและความสามารถใหม่ด้านควอนตัมเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในปี 2023 นี้
3b) กำหนดให้ชัดเจนว่าความเสี่ยงในการเข้ารหัสเชิงควอนตัมที่ปลอดภัยอยู่ที่ใด ทั้งนี้ ควอนตัมคอมพิวติ้งคือสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างพลิกผันเพราะเทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบหลายอย่างของไอทียุคใหม่ ด้วยการเพิ่มขึ้นของควอนตัมคอมพิวติ้ง ทำให้ต้องมีความเข้าใจในการเข้ารหัสเชิงควอนตัมมากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาระบบเข้ารหัสข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมที่สามารถป้องกันการโจมตีที่มาจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมได้ ปัจจุบัน ผู้ไม่หวังดีจากทั่วโลกกำลังพยายามจับและสร้างคลัง (archive) เพื่อเก็บทราฟฟิกที่มีการเข้ารหัสเอาไว้เพื่อที่ว่าเมื่อใดที่มีคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ทรงพลังเพียงพอ จะได้สามารถถอดรหัสและดูข้อมูลนั้นได้ หากคุณต้องการลดความเสี่ยงในจุดนี้ ขอแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจว่าความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของคุณอยู่ที่ใด รวมถึงระยะเวลาที่สร้างความกังวล คุณสามารถลงมือได้ด้วยการจัดทำรายการสินทรัพย์ crypto ของคุณเป็นอย่างแรก นี่คือพื้นฐานที่อยู่ในความสามารถของคุณในการสร้างแผนที่ของจุดเสี่ยง ตามด้วยการพัฒนาแผนการดำเนินงานที่สามารถนำมาปรับใช้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
ในปี 2023 เราจะเห็นอัลกอริทึมการเข้ารหัสที่ปลอดภัยด้วยควอนตัมในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก ที่ และเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสิ่งนี้ ทุกองค์กรธุรกิจจำเป็นต้องพิจารณาว่าข้อมูลสำคัญขององค์กรกระจายไปสู่ที่ใดบ้างบนเครือข่ายสาธารณะ แล้วเตรียมพร้อมในการห่อหุ้มข้อมูลด้วยอัลกอริทึมใหม่เหล่านี้ เมื่อเวลาผ่านไป อัลกอริธึมเหล่านี้จะเป็นที่ต้องการในทุกที่ แต่ในปี 2023 เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการที่เราต้องเริ่มปกป้องข้อมูลในพื้นที่สาธารณะจากภัยคุกคามที่แท้จริงนี้
4) ตัดสินใจว่าสถาปัตยกรรม multi-cloud edge ควรต้องเป็นแบบใด – 1) แบบ cloud extension หรือ 2) แบบ cloud-first
ในปี 2023 ข้อมูลและการประมวลผลของคุณจะมีความจำเป็นมากขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง จากการประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ในโรงงานหรือในการจ่ายไฟให้กับระบบควบคุมหุ่นยนต์ ระบบเอดจ์ (Edge) กำลังขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็วในโลกมัลติคลาวด์ในปีนี้ ถึงเวลาที่คุณจะต้องเลือกสถาปัตยกรรมระบบเอดจ์ที่คุณต้องการใช้งานในระยะยาวกันแล้ว ทางเลือกแรกคือเลือกใช้ระบบเอดจ์ในฐานะส่วนขยายของคลาวด์ ซึ่งโมเดลนี้เป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน และในแต่ละคลาวด์เองคุณก็มีระบบเอดจ์ที่เทียบเท่ากัน (เช่น GPCP-Anthos, Azure-ARC, AWS-EKS) วิธีนี้ใช้ได้ดีหากคุณมีคลาวด์จำนวนเพียงหนึ่งหรือไม่มากนัก ทางเลือกที่สองคือการใช้งานระบบเอดจ์ในรูปแบบของแพลตฟอร์มเพื่อการแบ่งปันการใช้กับคลาวด์ทั้งหมดที่มีอยู่ โดยสถาปัตยกรรมที่เป็น edge first นี้ ถือเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ แต่ด้วยความพยายามอย่างยิ่งของ Project Frontier ของเดลล์ เรามองเห็นเส้นทางในการสร้างแพลตฟอร์มเอดจ์เพื่อการใช้ร่วมกันที่เสถียร ที่สามารถนำมาใช้โดยระบบเอดจ์ที่ถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software-defined Edge) ใดก็ได้ (ยกตัวอย่าง ARC, Anthos, EKS, IoT แอป, เครื่องมือจัดการข้อมูล และอื่นๆ)
แม้ว่าแพลตฟอร์ม multi–cloud edge จะเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตัดสินใจในเวลานี้ว่าคุณต้องการให้ระบบเอดจ์ของคุณมีรูปแบบอย่างไรในอนาคต ลองพิจารณาว่าคุณต้องการที่จะเพิ่มจำนวนเอดจ์เพื่อการใช้บริการคลาวด์แต่ละส่วน หรือคุณต้องการให้บริการคลาวด์เหล่านั้นถูกกระจายออกไปในลักษณะของซอฟต์แวร์บนแพลตฟอร์มเดียวกัน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า “ปณิธานและการแก้ปัญหาในปีใหม่” ทั้งสี่ประการนี้จะช่วยให้เราทุกคนสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของมัลติ-คลาวด์ได้ดียิ่งขึ้น นวัตกรรมไม่เคยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างที่เราคาดหวังเช่นนี้มาก่อนในปี 2023 ซึ่งยิ่งเพิ่มความรีบด่วนในการตัดสินใจเพื่ออนาคตที่จะช่วยให้เราสามารถนำทางกระแสเทคโนโลยีที่กำลังมาถึง
โดย จอห์น โรส Global Technology Officer เดลล์ เทคโนโลยีส์