ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ การแข่งขันในแวดวงธุรกิจเข้มข้นขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเป็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด เปรียบได้กับในสนามแข่งรถยนต์ที่มีความท้าทาย ทั้งสภาพอากาศ ทางตรง และทางโค้ง ซึ่งคนขับ คือ ผู้นำองค์กร ที่จะต้องขับรถแข่งโดยตระหนักว่าสนามแข่งเป็นอย่างไร และต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อให้ถึงเส้นชัยเร็วที่สุด บางองค์กรมีผู้นำที่แข็งแกร่ง พร้อมฟันเฟืองที่ใช่ ก็ทะยานแซงทุกโค้ง หรือบางองค์กรเผลอผ่อนคันเร่งเพียงเสี้ยววิก็ถูกคู่แข่งแซงทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นได้อย่างง่ายดาย
SEAC (ซีแอค) จัดงาน “Racing Towards Excellence, Achieving Outstanding Outcomes ทะยานสู่ความสำเร็จ ด้วยสมรรถนะที่ก้าวเกินขีดจำกัด” ในธีมการแข่งขันรถสูตร 1 (Formula 1 หรือ F1) พาผู้เข้าร่วมเรียนรู้เสริมสมรรถนะให้สองฟันเฟืองสำคัญอย่าง ‘Mindset – วิธีคิด’ และ ‘Leadership – ภาวะผู้นำ’ โดยมี 2 สถาบันพัฒนาคนและองค์กรระดับโลกอย่าง “The Arbinger Institute” ผู้สร้างหลักสูตรเสริมสร้างวิธีคิด Outward Mindset และ “Blanchard” สถาบันพัฒนาภาวะผู้นำให้แก่องค์กรทั่วโลก มาแบ่งปันแนวทางขับเคลื่อนบุคลากรในองค์กรให้ทั้งเร็ว แรง แซงได้ทุกโค้ง ที่ค้นพบจากการให้คำปรึกษาแก่องค์กรทั่วโลก เติมเชื้อเพลิงชั้นเลิศให้ผู้นำที่เข้าร่วม มุ่งสู่ความสำเร็จ ภายใต้การแข่งขันที่ดุเดือดในยุคนี้ นอกจากนี้ยังได้รับฟังเสวนาวิถีแห่งการนำไปใช้ จากองค์กรที่ทรานฟอร์มได้สำเร็จผ่านประสบการณ์ของผู้นำการขับเคลื่อนตัวจริง
Mindset จุดสตาร์ทสู่การเปลี่ยนแปลงองค์กรที่ยั่งยืน
Mr. Michael J. Merchant, Senior Executive Consultant จาก The Arbinger Instituteได้อธิบายถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ยั่งยืนเริ่มต้นจาก Mindset ว่า “วิธีคิด หรือ Mindset เปรียบเสมือนเลนส์ที่เราใช้ในการมองโลกและตัดสินสิ่งต่างๆ เป็นตัวขับเคลื่อนพฤติกรรม ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน จากงานวิจัยพบว่า บริษัทที่เปลี่ยน Mindset ก่อนพฤติกรรม จะได้รับผลลัพธ์ดีกว่าถึง 4 เท่า โดยแบ่งMindset ได้ 2 ประเภท คือ ได้แก่ Inward Mindset: การมองโลกผ่านเลนส์ที่มีเป้าหมายของตนเองเป็นหลัก มองคนอื่นเป็นเพียงวัตถุ พาหนะ และอุปสรรค เป็นแค่เครื่องมือที่อาจช่วยให้ตนเองประสบความสำเร็จ และ Outward Mindset: การมองเห็นเป้าหมาย ปัญหาและความต้องการของคนอื่นสำคัญไม่แพ้เป้าหมาย และความต้องการของตัวเอง
คนหนึ่งคนสามารถมีทั้ง Inward Mindset และ Outward Mindset ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะตอบโต้ และปฏิบัติกับสถานการณ์นั้นอย่างไร การทำงานด้วย Inward Mindset จะทำงานแบบตัวใครตัวมัน ไม่แคร์ว่าอีกคนจะมีปัญหาและเป้าหมายอย่างไร ส่วน Outward Mindset จะทำงานแบบประสานงานกับคนอื่น ไม่กล่าวโทษกัน ปรับพฤติกรรมของตนเอง เพื่อช่วยกันทำงานให้ราบรื่น มองเห็นเป้าหมายใหญ่ร่วมกัน และมุ่งมั่นพาองค์กรไปยังเป้าหมายนั้นให้ได้โดยมีเครื่องมือที่เรียกว่า S.A.M. ซึ่งหมายถึง 1.See Others คือ เข้าใจเป้าหมาย อุปสรรค และความท้าทายของผู้อื่น 2. Adjust Efforts กลับมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองเพื่อช่วยเหลือให้เขาบรรลุเป้าหมาย 3. Measure Impact ประเมินว่าความพยายามของเราเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น และไม่สูญเปล่า
ทั้งนี้ การสร้าง Outward Mindset ให้เป็นวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างยั่งยืน เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันจบสิ้น โดยต้องเริ่มจากผู้นำองค์กร ที่เป็นตัวอย่างที่ดี ผลักดันวัฒนธรรมองค์กรที่ผู้คนมี Outward Mindset โดยปรับใช้ในสิ่งง่ายๆ ที่เคยทำอยู่แล้ว อย่างการนำหลัก S.A.M. เข้าไปใช้ในงานประชุมต่างๆ เพื่อให้เกิดการนำ Outward Mindset ไปปรับใช้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ต้องอาศัย Self-Awareness การตระหนักรู้ในตัวเอง, Accountability การรับผิดชอบต่อเป้าหมาย และ Collaborationการทำงานร่วมกันจากพนักงานแต่ละคน ซึ่งถ้าทุกคนในองค์กร มี Outward Mindset เข้าใจความต้องการซึ่งกันและกัน เข้าใจเป้าหมายขององค์กรร่วมกัน และทำงานร่วมกัน องค์กรก็จะบรรลุผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ได้แบบทวีคูณ
ภาวะผู้นำที่ดีขับเคลื่อนองค์กรไปถึงเส้นชัยได้อย่างไร
ด้าน Mr. Scott Blanchard, President จาก Blanchard ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Leadership ว่า “ภาวะผู้นำ หรือ Leadership ไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำปฏิบัติต่อคน แต่คือสิ่งที่ผู้นำทำร่วมกับคน ผู้นำต้องไม่หยุดเรียนรู้ ปรับปรุง และพัฒนา
ตามสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดย 6 หัวใจสำคัญของการเป็นสุดยอดผู้นำ มีดังนี้
- ผู้นำย่อมเป็นพันธมิตร (Leadership is a partnership) อย่างที่กล่าวว่า ภาวะผู้นำนั้นคือการปฏิบัติตัวร่วมกับคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาในฐานะผู้ที่จะเดินทางพิชิตเส้นชัยไปด้วยกัน เพราะผู้นำไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ ดังนั้น ต้องสร้างการมีส่วนร่วมในการทำงานก่อน
- ผู้นำต้องรู้จักจับถูก (Catching people doing things right) เรียนรู้ความสามารถของลูกน้อง วางตัวคนทำงานให้เหมาะสมกับงาน คือทักษะหนึ่งของคนเป็นผู้นำ นอกจากจะได้ผลลัพธ์ของงานที่ดีแล้ว ยังเป็นการสร้างแรงใจให้กับพนักงาน สร้างความเชื่อใจระหว่างคนในทีม โดยมีพื้นที่ให้สามารถผิดพลาด เรียนรู้และพัฒนาให้ดีขึ้น
- ผู้นำใช้ความรักขับเคลื่อนทีม (Love and Support) จากผลวิจัยบอกว่า หากพนักงานรู้สึกไม่ดีต่อหัวหน้า
โดนตำหนิบ่อย ก็มักจะใช้พลังงานไปกับการต่อต้านและคิดลบในหัว มากกว่าการทำงานให้ได้ผลดี ฉะนั้นการเป็นหัวหน้าจึงมาพร้อมกับหน้าที่ในการเป็นที่รักของลูกน้อง เพื่อให้ความสัมพันธ์ที่ดีสร้างการทำงานที่ดีขึ้นมา
- ผู้นำจะอยู่เคียงข้างเสมอ (Connection and Learning) ผู้นำที่สร้างความเชื่อใจว่าจะอยู่เคียงข้าง คอยผลักดัน และช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาอยู่ตลอด ทำให้คนเกิดความไว้ใจ และสามารถโฟกัสกับภาระงานของตัวเองได้เต็มที่ มากกว่าผู้นำที่ปล่อยให้ลูกน้องเผชิญปัญหาลำพัง
- ผู้นำต้องรู้จักปรับตัว (Adaptability) การเข้าใจคนในทีม ทั้งด้านทัศนคติ ไลฟ์สไตล์ ก็เป็นหนึ่งในทักษะที่ควรมี เพื่อให้ปรับตัวและเข้าใจวิธีการผลักดันลูกน้องได้อย่างตรงจุด
- เส้นทางสู่การเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมไม่มีเส้นชัย (Journey Never Ends) การเข้าใจเรื่องนี้จะทำให้ผู้นำสามารถพัฒนาตนเองไปได้เรื่อย ๆ โดยเรียนรู้และก้าวข้ามขีดจำกัดของตน เพื่อพาทีมหรือองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกำลัง จนกว่าจะออกจากตำแหน่งไปด้วยตนเอง
“การเป็นผู้นำที่ดี ไม่ใช่การเป็นคนที่เก่งทุกเรื่อง หรือสามารถตัดสินใจได้ทุกเรื่อง แต่คือคนที่เข้าใจธรรมชาติของการทำงานเป็นทีม โดยอาศัยความเชื่อใจเป็นจุดเริ่มต้น สร้างบรรยากาศการทำงานให้ดีจนทุกคนในทีมคิดว่าสามารถพึ่งพากันได้ ซึ่งนี่อาจเป็นงานที่ยาก และทำให้ท้อได้ง่ายเช่นกัน บริษัทจึงจำเป็นต้องให้มีการอบรมผู้นำ เพื่อเตรียมความพร้อมให้คนที่เหมาะสมรับหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
นอกจากสองหัวข้อเสวนาน่าสนใจ ภายในงานยังมีช่วง “Mindset & Leadership Organization Check-up” นำความรู้จากการฟังบรรยายมาเชื่อมโยงกับบริบทองค์กรไทย โดยคุณบุญชัย พงศ์รุ่งทรัพย์ ที่ปรึกษาอาวุโส จากซีแอค (SEAC) และกิจกรรม “Explore 2 Competencies: Mindset x Leadership” เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสการเรียนรู้ที่จะเสริมสร้างให้องค์กรแข็งแกร่งทั้งสมรรถนะ และเป็นผู้นำการขับเคลื่อน ในมินิเวิร์กชอป Outward Mindset นำโดยคุณกรินทร์ โปสาภิวัฒน์ ที่ปรึกษาอาวุโสและเทรนเนอร์ จากซีแอค (SEAC) และมินิเวิร์กชอป Leadership นำโดยคุณชาย อินทรกำแหง ที่ปรึกษาอาวุโสและเทรนเนอร์ จาก SEAC (ซีแอค) แบ่งปันเกี่ยวกับการเป็นผู้นำที่ดี ซึ่งต้องมีการรับฟัง และเข้าใจคนรอบข้าง เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้อย่างราบรื่นและแข็งแกร่ง ก่อนจะปิดท้ายด้วยช่วง “Story from the Podium” ที่ได้รับเกียรติจากคุณภัทรกร รังษีวงศ์, Analyst, Enterprise Transformation, PTTEP และ Mr. Janil Jose Samson, Group Director of Organizational Capability, Minor Hotels มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การปรับใช้และถ่ายทอด Mindset และ Leadership ให้กับผู้บริหารและคนในองค์กร
คุณภัทรกร กล่าวว่า “PTTEP ได้ทำ Transformation เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคหลังโควิด-19 เราตระหนักว่ารากฐานสำคัญของการเปลี่ยนแปลงคือ การปรับ Mindset ให้พร้อมรับมือปัญหา และความท้าทายต่างๆ ผู้บริหารจึงร่วมกับ SEAC ออกแบบพัฒนาหลักสูตร Outward Mindset สำหรับองค์กรของเราขึ้นมา โดยกลุ่มแรกที่ได้เข้าศึกษาก็คือผู้บริหารระดับสูงก่อน แล้วจึงไล่ลงมายังระดับปฏิบัติการ
Outward Mindset ไม่ใช่การปรับทัศนคติ แต่เป็นการยกระดับทัศนคติ ให้ทำงานอย่างมีความสุข และเกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป การเรียนตลอดหลักสูตรนี้ ทำให้พนักงานส่วนใหญ่เข้าใจวิธีคิดของตนและคนรอบข้างมากขึ้น สามารถแก้ปัญหาด้านความสัมพันธ์และการทำงานให้ราบรื่นขึ้น โดยจากผลลัพธ์ดังกล่าว PTTEP ก็วางแผนจะให้พนักงานในสาขาต่างประเทศได้เข้ารับการอบรมด้วยเช่นกัน”
ด้าน Mr. Janil เผยว่า “บริษัทไมเนอร์ฯ เริ่มเรียนหลักสูตร Servant Leadership กับ SEAC (ซีแอค) เมื่อปี ค.ศ. 2017 ภายในองค์กรเราจัดให้มีการ Coaching โดยผู้นำแต่ละทีม อาจจะเป็นการสนทนาที่ยาวนาน หรือสั้น สิ่งสำคัญคือ คุณภาพของการสนทนา และการเลือกบทสนทนาที่เหมาะสม เข้าใจบริบทของพนักงานแต่ละคน และ ในส่วนของการพัฒนาผู้นำ ผู้นำส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร อาจจะเพราะมีอีโก้ ผู้นำทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะให้ฟีดแบค และรับฟัง
ฟีดแบคไปพร้อมกัน โดยมีสิ่งสำคัญคือ Fit for Purpose คือ การเข้าใจคน เข้าใจสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้”
หากหน่วยงานหรือองค์กรใดที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตรของ SEAC (ซีแอค) สามารถติดตามได้ที่ Facebook: https://www.facebook.com/seasiacenter และ Website: https://seasiacenter.com/
อ่าน: 1,272
Comments
comments