CEO NT แถลงข่าว อัพเดทภาพรวมสภาพตลาดโทรคมนาคมที่ผ่านมาในช่วงโควิดมีภาวะซบเซา ไม่ค่อยมีรายได้ Operator หรือค่ายต่าง ๆ มีการลงทุนไปสูงมาก แต่ไม่ค่อยได้ผลตอบแทนกลับมาเท่าที่ควรเพราะสภาพตลาดมีความซบเซา ซึ่งมีผลทำให้ Growth ของตลาดอิ่มตัว ยกเว้นเรื่อง iot ในอนาคตที่อาจเข้ามาช่วยทำให้ตลาดโตขึ้นไปได้

สำหรับธุรกิจ Mobile เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปีนี้จะมีผลประกอบการที่ดีกว่า 6 เดือนแรกของปีที่แล้วระดับ 10 ล้าน โดยปัจจุบันยังคงทดสอบ 5G 700 MHz ในกรุงเทพฯต่อเนื่อง และ NT จะทำ Commercial เปิด 5G เป็นทางการได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และเนื่องจากคลื่น 850 MHz จะหมดลงในปี 68 NT ก็จะ Migrate ลูกค้าไปไว้ที่ 700 MHz และมุ่งธุรกิจสู่ iot เป็นหลัก และจะเพิ่ม dealer กระจาย retail ให้มากขึ้น ปี 68 จะต้องตั้งเป้าหารายได้ให้เทียบเท่ากับรายได้ที่กำลังจะเสียไปจากการที่คลื่นต่างๆจะหมดอายุจำนวน 3 คลื่นในปี 68

“โจทก์ NT คือทำยังไงให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนเข้าถึง Connectivity ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพในราคาที่จับต้องได้ เราจะไม่ไปแข่งคุณภาพขั้นสูงสุดหรือบริการดีที่สุดเพื่อเน้นหารายได้ แต่พื้นฐานเหล่านี้คือนโยบายที่เรายึดปฎิบัติมาตลอด ดังนั้นไม่ว่าจะเน็ตบ้านหรือมือถือเราจะไม่ไปแข่งอะไรเหล่านั้นกับตลาด” CEO NT กล่าวสรุป

ความคืบหน้าโครงการสนับสนุนนโยบายภาครัฐ

ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา NT ได้คำเนินงานสนับสนุนนโยบายภาครัฐโดยส่วนใหญ่เป็นโครงการต่อเนื่อง อาทิ

การต่อยอดบริการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC

โครงการระบบคลาวด์กลางภาครัฐซึ่ง NT ดำเนินการการอย่างต่อเนื่องในการจัดหาทรัพยากรด้านการประมวลผล (Computing Resource) ให้กับภาครัฐในรูปแบบการให้บริการ Cloud Service รองรับหน่วยงานรัฐให้เข้าถึงทรัพยากรด้านคลาวด์มาตรฐานสากล โดยเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลภาครัฐด้วยเทคโนโลยีใหม่ทันสมัยเป็นการขยาย Capacity รองรับการใช้งานภาครัฐที่มีความต้องการสูงขึ้นทุกปี รวมทั้งได้เพิ่มบริการ Market Place บน GDCC ให้บริการแพลตฟอร์มไอที แอปพลิเคชันใหม่ๆ และเครื่องมือด้านบิ๊กดาต้าสำหรับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งพร้อมสนับสนุนรัฐบาลใหม่ที่จะเข้าบริหารประเทศด้วยข้อมูลขนาดใหญ่จากระบบคลาวด์และบิ๊กดาต้า

การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย ASEAN Digital Hub

โครงการ ASEAN Digital Hub เป็นโครงการเพิ่มศักยภาพประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการติดต่อสื่อสารสำหรับกลุ่มประเทศอาเซียนตอนบนได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา โดยก่อนหน้านี้ NT ได้ขยาย Connectivity ผ่านโครงข่ายชายแดน (Cross Border Optical Fiber) ซึ่งปัจจุบันมีการใช้งานแล้วคิดเป็น 64% ขณะนี้มีความคืบหน้าในการจัดสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำ ASIA Direct Cable (ADC) กว่า 90% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ทดสอบระบบฯ รวมถึงส่งมอบสิทธิการใช้งานได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2567 ทั้งนี้ โครงการส่งผลให้เพิ่มความจุแบนด์วิดท์รวมของภูมิภาคอาเซียนซึ่งประเทศเหล่านี้มีการเติบโตของอินเทอร์เน็ตทราฟฟิกสูง เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้ประกอบกิจการคอนเทนต์ (Content Provider) รายใหญ่เข้ามาตั้งฐานข้อมูลในประเทศไทย และมีการใช้งานผ่านโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศที่ได้ขยายความจุไว้ ซึ่งเป็นการผลักดันประเทศให้สู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ตามนโยบายภาครัฐ

การจัดระเบียบสายสื่อสารและนำสายสื่อสารลงท่อร้อยสายใต้ดิน

NT ร่วมกับ กฟน. กฟภ. องค์กรภาครัฐ และผู้ประกอบการโทรคมนาคม ดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารแล้วเสร็จระยะทาง 34.1 กม. และด้วยท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินของ NT ที่ครอบคลุมพื้นที่ในเขตเมืองทั่วประเทศรวม 4,450 กม. จึงพร้อมอำนวยความสะดวกให้ผู้ให้บริการค่ายต่าง ๆ เช่าท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินซึ่งพัฒนาเป็นระบบ Single Last Mile ที่เชื่อมต่อกับบ้านลูกค้าแล้ว ด้วยหลักการ Infrastructure sharing โอเปอเรเตอร์ทุกรายจะไม่ต้องลงทุนสร้างและบำรุงสายสื่อสารเอง สามารถลดต้นทุนโดยเช่าตามที่ใช้จริงและตามระยะเวลาที่มีลูกค้าใช้บริการ

การบริหารธุรกิจดาวเทียมในปัจจุบันและอนาคต

นอกจากให้บริการสื่อสารดาวเทียมไทยคม 4 บนวงโคจร 119.5E และไทยคม 6 วงโคจร 78.5E ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเป็นองค์กรและหน่วยงานภาครัฐแล้ว NT ยังมีโครงการขยายบริการด้านดาวเทียมในอนาคต ได้แก่ การให้บริการผ่านดาวเทียมตำแหน่งวงโคจร 126E ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลจากผู้ผลิตดาวเทียม, ผู้ให้บริการ Launcher, การประสานงานความถี่ในขั้นปลาย รวมถึงการสำรวจความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียมของหน่วยงานภาครัฐเพื่อนำเสนอกระทรวงดิจิทัลฯ โดยโครงการดาวเทียมตำแหน่งวงโคจร 126E ดังกล่าวมีศักยภาพรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของทุกหน่วยงานภาครัฐและรวมถึงโครงการ USO ที่มีการใช้งานดาวเทียมทั้งหมด

นอกจากนี้ NT ยังร่วมมือกับพาร์ตเนอร์บริการดาวเทียมระดับโลก OneWeb นำเอาบริการดาวเทียมวงโคจรต่ำมาให้บริการในประเทศ โดยเน้นให้บริการโดยเฉพาะพื้นที่ที่ห่างไกลซึ่งเสาสัญญาณไม่สามารถเข้าถึงได้ เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสถานีเกตเวย์สำหรับอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม OneWeb ณ สถานีดาวเทียมสิรินธร จ.อุบลราชธานี อยู่ระหว่างรอการทดสอบติดตั้งอุปกรณ์ และมีแผนเปิดให้บริการราวต้นปีหน้า

เร่งเครื่องเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐาน 5G บนคลื่นความถี่ 700 MHz. และ 26 GHz.

NT ดำเนินโครงการบริการ 5G บนคลื่นความถี่ 700 MHz. และ 26 MHz. โดยใช้ทรัพย์สินที่มีร่วมกันคือ Core Network ซึ่งลดการลงทุนซ้ำซ้อน อีกทั้งเป็นการใช้ 2 คลื่นความถี่ร่วมกันอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดในการให้บริการ 5G เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีสร้างบริการอัจฉริยะต่าง ๆ ได้เกิดประสิทธิภาพและครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมีการให้บริการใน 2 รูปแบบคือ

บริการ 5G Solution สำหรับองค์กร ดำเนินการให้บริการในโครงการติดตั้งเทคโนโลยี 5G สำหรับระบบบริหารเมืองอัจฉริยะ ณ เขตเทศบาลตำบลบ้านฉาง เพื่อให้บริการต่าง ๆ แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว อาทิ Mobile Applications สำหรับเทศบาลและประชาชน ระบบฐานข้อมูลเมืองเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลการบริการ ระบบติดตามและตรวจสอบบุคคลสูญหายหรือบุคคลต้องสงสัย ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลเมืองเพื่อความปลอดภัย เช่น สถานีตำรวจ ดับเพลิง

บริการ 5G Retail อยู่ระหว่างการทดสอบด้านเทคนิคในการเปิดให้บริการ/ Roaming 5G/4G 700 และความพร้อมของระบบ รวมทั้งการกำหนดแผนการย้ายลูกค้าและกำหนดโปรโมชันช่วง Soft Launch บน 700 MHz

ปรับกลยุทธ์รักษาฐานรายได้กลุ่มธุรกิจหลัก

กลุ่มธุรกิจ Mobile
– ผลักดันกลยุทธ์สำคัญเพื่อรักษาฐานลูกค้า เช่น จัดทำรายการส่งเสริมการขายสำหรับผู้ใช้บริการที่โอนย้ายจากโครงข่าย 850 MHz ไปยังโครงข่าย 700 MHz ภายในระยะเวลาที่กำหนด ร่วมกับการเพิ่มช่องทางจำหน่ายแบบออนไลน์เพิ่มตัวแทนขาย และกระตุ้นยอดขายตัวแทนจำหน่ายในทุกพื้นที่ พร้อมจัดทำแคมเปญกระตุ้นตัวแทนขาย ควบคู่กับขยายตลาดเพิ่มเซกเมนต์ภาครัฐ โดยจัดทำแพ็คเกจให้บริการแบบ Total Solution และ IOT

กลุ่มธุรกิจ Broadband
– ปรับกลยุทธ์ด้านการบริหารเพิ่ม Product Manager เพื่อดูแลบริการที่ครบวงจรและเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งองค์กร รวมถึงส่งเสริมการขายด้วยโปรโมชัน Up Speed เพิ่มบริการฺ Bundle และเน้นลูกค้าเดิมให้มีการใช้บริการต่อเนื่อง

กลุ่มบริการดิจิทัลมาแรงแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง
NT สามารถเพิ่มรายได้ในภาพรวมจากกลุ่มบริการดิจิทัลได้ชัดเจนขึ้น โดยบริการเดิมอย่าง NT CLOUD ยังรักษาการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20-25 % และบริการใหม่ที่เริ่มทำรายได้ เช่น ระบบ National Single Window (NSW) ที่เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา คาดว่าจะสร้างรายได้รวมในปี 2566 ประมาณ 160 ล้านบาท และ บริการ NT Big Data & AI ซึ่งเปิดให้บริการมา 4 ปี มีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดปีละ 45% จากเทรนด์ปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในการทำธุรกิจ

ขณะที่ NT Data Center ให้บริการ 13 แห่งทั่วประเทศ รองรับได้มากกว่า 1,200 racks ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 90% NT จึงมีแผนในการสร้าง Data Center แห่งใหม่ความจุมากกว่า 1,000 racks เพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้นทุกปี อีกทั้งขยายการพัฒนาธุรกิจบริการดิจิทัลด้าน Application Platform & Digital Solutions เพื่อตอบสนองความต้องการของหน่วยงานภาครัฐด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City)

Comments

comments