วางจำหน่ายแล้ว Router 4/5G รุ่นใหม่อัพเดท 2024 ล่าสุดจากค่าย TP-Link ใช้ชื่อรุ่น Archer NX200 ใส่ซิมเล่นเน็ตที่รองรับทุกซิมในโลก เพราะตัวเครื่องนั้นรองรับคลื่นความถี่ 4-5G ครบทุกคลื่น โดยครั้งนี้ TP-Link ทำราคาและสเปคออกมาได้อย่างน่าสนใจ คือราคาจับต้องได้มากขึ้น (6990.-) อาจสูงกว่า Router 4G ขึ้นมาบ้าง แต่ได้เทคโนโลยีและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า มีความคุ้มค่าสำหรับการเลือกซื้อ Router ที่สามารถรองรับเทคโนโลยีได้ดีใช้งานในระยะยาว

นอกจากจุดเด่นด้านราคาแล้ว TP-Link น่าจะวางตำแหน่ง NX200 ให้เป็น Mass Product ของ Segment 5G ในไทย เพราะจากการทดสอบใช้งาน เราสัมผัสได้ถึงจุดเด่นของ NX200 คือใส่เทคโนโลยีการรวมคลื่นได้มากที่สุดเท่าที่ Router 4/5G ที่ขายในไทยจะทำได้ในขณะนี้ เรียกว่าเป็นตัวจบของใครหลายคนที่นำไปใช้งานได้ทุกสถานการณ์ ทั้งหอพัก คอนโด อพาร์ทเม้นท์ ตึกสูง เพราะสามารถเลือกคลื่นความถี่ 4/5G หรือปล่อยให้ใช้อัตโนมัติแบบอิสระ ผลลัพธ์ที่ได้จากการมัดรวมหลายคลื่น ทั้ง 4G+ 5G+ ส่งผลถึงความเร็วที่ตอบสนองการใช้งานได้ดีกว่า Router ที่ไม่สามารถรวมคลื่นได้ นำมาซึ่งความลื่นไหล ไม่ติดขัด แม้สถานการณ์ใช้งานในสิ่งแวดล้อมหรือสภาวะที่เป็นอุปสรรคไม่เอื้ออำนวยเหมือนการใช้ในจุดปกติทั่วไป

ในด้านไวไฟก็รองรับระดับ AX หรือไวไฟ 6 ระดับ HE80 ให้ LinkSpeed 1.2Gbps บนคลื่น 5GHz และคลื่น 2.4GHz ที่ BW 40 MHz ให้ LinkSpeed 574Mbps รวมเรียกในคลาส AX1800  สามารถต่อพ่วงกับ Mesh Wi-Fi กับอุปกรณ์ไวไฟค่าย TP-Link อื่นๆแบบ Easy Mesh ขยายความครอบคลุมสัญญาณไวไฟในทุกจุดได้ตามต้องการ

สำหรับสเปคนั้น TP-Link เคลมความเร็ว 5G สูงสุดว่ารองรับได้ไกลในหลากหลายคลื่นความถี่ที่ Max 4.67Gbps ความเร็วที่เคลมนี้เกิดขึ้นได้จริงหากผู้ให้บริการเปิด Bandwidth ในปริมาณสูงสุดทั้ง 4-5G เพราะ NX200 สามารถนำคลื่นต่าง ๆ มามัดรวมกันได้สูงสุดถึง 4 คลื่น เช่น B3+B1+B8+n41 ในแบบ 5G NSA และ n41+n28 สำหรับ 5G+ หรือ 5G SA หรือแม้แต่ 5G+ NSA B3+n41+n28 ก็ทำได้ หากพื้นที่ไหนอนุญาตให้มีการรวมคลื่นได้ NX200 สามารถส่งมอบความเร็วสูงสุดจากทุกคลื่นรวมกันเป็นสุดยอดเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ชิฟรุ่นใหม่ๆทำได้ ซึ่งเราจะพบเห็นได้ในมือถือรุ่นเรือธงต่าง ๆ เป็นที่น่ายินดีที่วันนี้ TP-Link จับเทคโนโลยีนี้มาใส่ไว้ใน Router ให้ได้ใช้กัน นอกจากนี้ตัวเครื่องยังสามารถรับ-ส่ง SMS มีระบบรักษาความปลอดภัยใส่มาให้อย่างครบถ้วน ขาดอย่างเดียวคือไม่สามารถใช้งานการโทรออก รับสายได้

แกะกล่อง Archer NX200

ในกล่องมีตัวเครื่องสีขาว มาพร้อม Adapter และสาย LAN 1 เส้น แนบคู่มือการตั้งค่าแบบย่อมาให้อ่านคร่าวๆ 1 ชุด รับประกันยาวนาน 3 ปี ตัวเครื่องรองรับซิมการ์ดแบบ nano sim

รูปลักษณ์และ Port การเชื่อมต่อ

ตัวเครื่องสีขาว สะอาดตา ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป ด้านหน้าเมื่อเปิดใช้งานจะมีไฟ LED บอกสถานะการใช้งาน ระดับสัญญาณ 4/5G การเปิดปิดสัญญาณไวไฟ การเชื่อมต่อสายแลน การเชื่อมต่อ Internet ซึ่งเราสามารถตั้งค่าให้ปิดไฟทั้งหมดได้ตามช่วงเวลา เช่นช่วงกลางคืน ผ่าน App ที่ใช้ตั้งค่า

ในส่วนของด้านหลังตัวเครื่องมีช่องต่อเสาสัญญาณภายนอกแบบ SMA และ Port LAN ระดับ Gigabit จำนวน 3 ช่อง และ 1 ในนั้นใช้ต่อเป็นช่อง WAN นำสัญญาณเน็ตจากแหล่งอื่นเข้ามาใช้งานได้ด้วย มีปุ่ม WPS และปุ่มเปิดปิดเครื่อง พร้อมปุ่ม reset

การตั้งค่าเบื้องต้น

เหมือนกับอุปกรณ์ TP-Link ทุกรุ่นสามารถทำได้ 2 แบบคือผ่าน App Tether ที่หาโหลดได้ตาม Appstore และ PlayStore หรือจะเข้าผ่าน Web Browser ที่ 192.168.1.1 ก็ตั้งค่าต่างๆได้แบบละเอียดมากขึ้น

พาทัวร์ดูเมนูต่างๆที่มีผลสำคัญกับการใช้งาน

 

เมนูการตั้งค่า Wi-Fi 

สามารถเลือกช่องสัญญาณได้ทั้ง 2.4 และ 5GHz โดยสูงสุดที่ Wi-Fi 6 80MHz ได้ตั้งแต่ 36-64 , 100-128 และ 132-140 ส่วน 2.4GHz สูงสุด 40MHz ช่อง 1-11

โดยสามารถใช้ Smart Connect ที่ใช้ระบบ Band steerng ชื่อเดียวสลับคลื่นอัตโนมัติไป-มา หรือจะแยกชื่อเป็นรายคลื่นก็รองรับ มึ Function Airtime Fairness และ Security ได้สูงสุดถึง WPA3 รองรับปุ่ม WPS เชื่อมต่อแบบไม่กรอกรหัส

เมนูการตั้งค่า Internet

ตัวเครื่องสามารถเลือกได้ว่าจะใช้เน็ตจากแหล่งใด เป็นต้นว่า หากมีเน็ตบ้านอยู่แล้ว ต้องการใช้ 5G เพียงแค่สำรองกรณีเน็ตหลักเสียก็สามารถเลือก Priority ให้ใช้  EWAN (Ethernet WAN) เป็นหลักได้ ดังนั้นถ้าเน็ตบ้านเสียระบบจะนำ 5G มาบริการแทนในทันที กลับกัน เราสามารถตั้งให้ใช้ 5G เป็นหลักได้แล้วใช้เน็ตบ้านแทนกรณีใช้งาน 5G ไม่ได้ แบบนี้ก็ให้ MBB (Mobile Broadband) เป็น Priority

NX200 ปล่อยให้ผู้ใช้เลือกความถี่ได้อย่างอิสระทั้ง 5/4/3G ในโหมดนี้รองรับซิมที่สามารถใช้งาน 5G NSA โดยจับสัญญาณทั้ง 4/5G พร้อมกัน และสามารถรับสัญญาณแบบ 5G+ NSA คือคลื่น B3+n41+n28 ได้ด้วย หากซิมมีการเปิด 5G SA ไว้และเลือกโหมดนี้ ระบบจะจับสัญญาณ 5G+ SA ให้แทนคือ n41+n28 (ขึ้นอยู่กับเครือข่ายด้วยว่าเปิดบริการ 5G+ ในพื้นที่หรือไม่)

ชาว 5G SA เลือกโหมด 5G Only ได้

ในโหมดนี้มีไว้เฉพาะคนที่มี service 5G SA เปิดกับเครือข่ายไว้แล้วเท่านั้น หากมีบริการ NSA แล้วไปเลือก 5G Only จะไม่สามารถใช้งานใดๆได้ โหมดนี้ใช้งานได้ทั้ง SA คลื่นเดียว และ 5G+ SA รับ 5G คู่ 2 คลื่น หากรับคลื่นเดียวจะได้ Upload 2x2MIMO แต่ถ้ารับ 5G+ จะได้ขา Upload แบบ SISO 1×1 ในคลื่นหลัก (Primary) เท่านั้น จึงไม่แปลกถ้าความเร็วฝั่ง Upload ในบางพื้นที่จะได้มาก-น้อยแตกต่างกันไป

ไม่มีซิมหรือบริการ 5G เลือก 4G Only ใช้ดีกว่า

ในโหมดนี้รองรับ 4G และ 4G+ สูงสุดถึง 3CA ทั้งคลื่น FDD B3+B1+B8 ทุกเครือข่าย หากจับสัญญาณ 3 คลื่นจะได้ DL 3CA และ Upload แบบ non-CA แต่ถัารับ 4G+ แบบ 2 คลื่นและอยู่ใกล้สถานีฐาน จะได้ DL 2CA พร้อม UL 2CA ด้วย และสำหรับคลื่น TDD ก็ใช้งานได้สูงสุดถึง 3CA ได้แก่ B41+B41+B41 และ B40+B40+B40 เช่นกัน เรียกว่า 4G+ ทุกแบบเอาอยู่ครบหมด

ล๊อคคลื่นได้ทั้ง 4G/5G

สำหรับผู้ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญมากขึ้น เมนู Manual เลือกคลื่นเองก็ใช้ประโยชน์ได้ดีในหลายสถานการณ์ เป็นต้นว่า การหนีไปใช้คลื่น TDD ในบริเวณที่ FDD มีการใช้งานสูง เรากด Scan คลื่นหากพบ Band ที่ต้องการก็สามารถหยิบคลื่นนั้นขึ้นมาใช้งานได้ หรือไม่อยากใช้คลื่นไหนก็เลือกได้เช่นกัน ในส่วนการเลือกคลื่น 5G นั้นไม่แนะนำเพราะปกติในไทยใช้อยู่ 2 คลื่นคือ n41 และ n28 และตัวเครื่องก็รวม 2 คลื่นให้เองอยู่แล้วถ้าเครือข่ายที่ใช้อยู่รองรับ

ทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานจริง

ในการทดสอบ เราใช้ซิมเน็ตความเร็วสูงสุดไม่อั้นไม่ลดสปีดจากทั้ง AIS และ TRUE โดยเปิดบริการ SA พร้อมใช้งานสำหรับค่าย AIS ส่วน TRUE พื้นที่ทดสอบไม่มีบริการ SA จึงทดสอบเฉพาะ 5G NSA และ 4G+FDD (สำหรับทรูและดีแทคหากพื้นที่ปล่อย TDD 3CA ก็สามารถรับคลื่นได้ 3CA ทั้ง B40/B41)

เริ่มจากโหมด Default สำหรับซิมที่มีบริการ 5G SA ไม่ว่าจะเลือก 5/4/3G หรือ 5G Only ตัวเครื่องจะจับสัญญาณ 5G+ แบบ SA (n41+n28) นั่นคือไม่นำ 4G มาให้บริการ ความเร็วสูงสุดที่ได้ผ่านไวไฟที่เชื่อมต่อระดับ 1.2Gbps เราได้ความเร็วที่ 715Mbps Upload 53.8Mbps พอกันกับภาพขวาเป็นการทดสอบผ่านแลนที่ได้ 716Mbps Upload 54.Mbps เห็นได้ว่า ความเร็วผ่านไวไฟและแลนนั้นไม่แตกต่างกันมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์หรือมือถือด้วยว่าภาครับไวไฟมีเทคโนโลยีและเสาอากาศที่ออกมาดีมากน้อยแค่ไหน

ทดสอบ 5G+ NSA สำหรับซิมที่มีบริการ 5G แต่ไม่มีบริการ SA ตัวเครื่องจะจับสัญญาณ 5G 2 คลื่นเหมือน 5G CA ใน SA แต่คราวนี้จะเพิ่ม 4G เข้าไปอีก 1 คลื่น ดังนั้นเราจะได้ n41+n28+B3 รวม 3 คลื่นพร้อมกัน ทดสอบผ่านแลนเราได้สปีดที่น้อยกว่า 5G+ แบบ SA ดังนั้น 5G+ SA ทำความเร็วได้ดีกว่าการใช้งานที่ต้องพึ่งพา 4G อย่าง NSA

ทดสอบ 5G NSA เครือข่ายทรู รับสัญญาณ B3+B1+B8+n41 รวมกันถึง 4 คลื่นความถี่ ได้ความเร็ว 415Mbps Upload 58.2Mbps

ทดสอบ AIS4G+ FDD แบบปล่อยอิสระ 3CA B8+B3+B1 เราได้ความเร็วที่ 267Mbps Upload 23.8Mbps (3CA จะไม่ได้ UL CA)

ทดสอบล้อคคลื่น TRUE4G+ FDD B1+B3 เราได้ความเร็วที่ 148Mbps และ Upload 2CA ที่ 71.2Mbps

บทสรุป

NX200 ผ่านการทดสอบจาก TelecomLover ในทุกรูปแบบไม่ว่าจะ 5G/5G+ 4G+ เรายกให้เป็น Router 5G และ 4G ที่มีมาตราฐานเทคโนโลยีการรวมคลื่นได้หลากหลายและครบคู่คลื่นที่ผู้ให้บริการอย่าง AIS และ TRUE ปล่อยออกมาให้ใชัในแต่ละพื้นที่ตามแต่สถานการณ์ได้มากที่สุด เป็นรองจากมือถือเรือธงในราคา 4-6 หมื่นที่รับคลื่นลักษณะแบบนี้ได้ในปัจจุบัน การรวมคลื่นและการปล่อยให้ผู้ใช้เลือกคลื่นที่เหมาะสมใช้งานได้เองนับเป็นการแก้ Pain Point ของผู้ที่ไม่มีเน็ตบ้านหรือผู้ที่มีอุปสรรคต่าง ๆ ต้องพึ่งพาทรัพยากรไร้สายอย่าง 4/5G ในการค้นหาและเลือกคลื่น ปรับตั้งค่าให้ใช้งานได้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ใช้งาน ทั้งการใช้ชิฟและโมเด็มล่าสุดที่ทำ 5G CA ได้ทั้ง SA และ NSA รวมถึง 4G+ 3CA , Upload 2CA ก็ดี ทั้งหมดนี้ทำให้ NX200 เป็น Router 5G ที่ทันสมัย เข้าถึงได้และน่าใช้มากที่สุดในปี 2024 ครับ

Comments

comments