วิธีการจ่ายและรับชำระเงินของผู้คนได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในห้าปีที่ผ่านมามากกว่าในช่วงห้าทศวรรษก่อน โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปิดรับเทคโนโลยีเพื่อประสบการณ์ชำระเงินใหม่ๆ ตั้งแต่การค้าขายแบบดิจิทัลไปสู่การชำระเงินแบบ “แตะ” เพื่อจ่ายที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้บริโภคและร้านค้าทั่วโลก ในวันนี้ วีซ่า พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่กำลังจะให้บริการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งโซลูชันใหม่เหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อปฏิวัติการใช้บัตรในการชำระเงิน และตอบสนองต่อความต้องการในอนาคตของบรรดาธุรกิจ ร้านค้า และผู้บริโภค รวมถึงสถาบันการเงิน
“นวัตกรรมถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมด้านการเงิน เพราะการชำระเงินเป็นกลไกที่ทำให้การค้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต และในปัจจุบันยังถือว่ามีโอกาสอีกมากที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบนิเวศการชำระเงินจะร่วมสร้างประสบการณ์ดิจิทัลใหม่ๆ ร่วมกัน ดังนั้นเราจึงควรร่วมกันผลักดันให้เกิดความร่วมมือกับเหล่าพันธมิตร เพื่อปลดล็อกอุปสรรคต่างๆ และสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนให้กับผู้บริโภค ร้านค้า ตลอดจนชุมชนในท้องถิ่นที่เราอาศัยและทำงานอยู่” สตีเฟน คาร์พิน ประธานบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของวีซ่า กล่าว
ขณะที่ ทีอาร์ รามจันดรัน หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชันประจำเอเชียแปซิฟิกของวีซ่า ได้ให้ความเห็นว่า “เราเห็นว่าวิธีการที่ผู้บริโภคจับจ่ายและบริหารข้อมูลข่าวสารของตนเองในยุคไฮเปอร์ดิจิทัลนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้นกว่าในอดีต เราเชื่อว่าโซลูชันใหม่ที่เปิดตัวนี้จะมอบประสบการณ์การชำระเงินแบบดิจิทัลที่แท้จริงให้แก่ผู้บริโภค และทำให้การค้าขายตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลได้มากกว่า อีกทั้งยังสะดวก และปลอดภัยยิ่งขึ้น”
ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่จากวีซ่าที่เปิดเผยในครั้งนี้ จะเริ่มออกสู่ตลาดเอเชียแปซิฟิกในปีนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย
“Visa Flexible Credential” เลือกชำระด้วยวีซ่าได้หลายแบบผ่านข้อมูลชุดเดียวกัน
การศึกษาของวีซ่า พบว่า เกินครึ่งของผู้ใช้บัตรชำระเงิน อยากที่จะเข้าถึงหลายบัญชีโดยใช้เพียงข้อมูลตัวตนชุดเดียว (เช่น เลขบัตรเครดิต 16 หลัก) ที่ Visa Flexible Credential จะตอบสนองความต้องการนี้ โดยผู้ถือบัตรสามารถใช้ข้อมูลตัวตนชุดเดียวให้สามารถเลือกวิธีการชำระเงินที่แตกต่างได้ นอกจากนี้ผู้ถือบัตรยังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้บัตรเดบิต บัตรเครดิต หรือผ่อนชำระแบบ 4 งวด ร่วมกับบริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือแม้แต่การชำระด้วยคะแนนสะสมได้อย่างง่ายดายด้วยชุดข้อมูลยืนยันผู้ใช้ของวีซ่าชุดเดียว ในเอเชียแปซิฟิก บริษัท ซูมิโตโม มิตซุย การ์ด (Sumitomo Mitsui Card Company: SMCC) เป็นธนาคารแห่งแรกที่ใช้โซลูชันชำระเงินแบบใหม่นี้ รู้จักในชื่อ “โอลีฟ” (Olive) โซลูชันนี้ปัจจุบันมีให้บริการแล้วในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม และจะเปิดตัวเพิ่มเติมในตลาดเอเชียแปซิฟิกในปีนี้อีกด้วย
“Tap to Everything” แตะจ่ายได้ทุกสิ่ง
ปัจจุบันมีอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่รองรับเทคโนโลยี NFC แบบอเนกประสงค์ซึ่งเตรียมไว้สำหรับใช้งาน “แตะเพื่อจ่าย” สำหรับผู้บริโภคมากถึง 6,000 ล้านเครื่อง ในปลายปี 2566 ความแพร่หลายของบริการ “แตะเพื่อจ่าย” ของวีซ่ามีมากถึง 65% ทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นสองเท่าจากปี 2562 สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าบริการแตะเพื่อจ่ายเป็นหนึ่งในประสบการณ์ลูกค้าที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
ในปีนี้ วิธี “แตะ” แบบใหม่บนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะกลายเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์การชำระเงินดิจิทัลของวีซ่า
- Tap to Phone: การใช้งานที่ให้สมาร์ทโฟนสามารถเป็นเครื่องรับชำระเงินได้
- Tap to Confirm: แตะเพื่อยืนยันตัวตนได้อย่างง่ายดายเมื่อชอปออนไลน์
- Tap to Add Card: แตะบนสมาร์ทโฟนเมื่อทำการเพิ่มบัตรชำระเงินใน อีวอลเล็ทหรือแอป เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
- Tap to P2P (person-to-person): แตะเพื่อการโอนเงินระหว่างคนในครอบครัว และเพื่อน
“Click to Pay” คลิกเพื่อจ่าย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อซื้อของออนไลน์นั้น ขั้นตอนการชำระเงินได้สร้างความยุ่งยากให้กับผู้บริโภคไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องกรอกข้อมูลบัตร และผ่านขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ การคลิกเพื่อจ่าย (Click to Pay) จะช่วยตัดขั้นตอนที่น่าหงุดหงิดนี้ และช่วยให้ประสบการณ์การชอปออนไลน์เป็นไปอย่างไร้รอยต่อและปลอดภัยยิ่งขึ้น โซลูชันนี้ช่วยให้ผู้บริโภคจบขั้นตอนการทำธุรกรรมออนไลน์ได้เพียงไม่กี่คลิก โดยการเลือกชำระเงินผ่านบัตรของวีซ่าที่กรอกข้อมูลไว้ก่อนหน้าแล้ว นอกจากนี้วีซ่าเองได้ร่วมกับธนาคารผู้ออกบัตรหลายแห่งทั่วเอเชียแปซิฟิกเพื่อเปิดให้บริการ คลิกเพื่อจ่าย สำหรับบัตรวีซ่ารุ่นใหม่ โดยช่วยลดขั้นตอนในการกรอกข้อมูล และรหัสผ่านของบัตรด้วยตนเองได้ตั้งแต่ตอนที่ได้รับบัตร
Data Tokens
ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา วีซ่าได้ทำให้ระบบนิเวศการชำระเงินดิจิทัลปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยโทเค็น ซึ่งทดแทนข้อมูลบัญชีผู้ถือบัตรออกจากขั้นตอนการชำระเงิน จนถึงวันนี้วีซ่ามีการทำธุรกรรมในรูปแบบโทเค็นมากกว่า 1,000 ล้านครั้งทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิก โดยได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มร้านค้าและสถาบันการเงินผู้ออกบัตร และในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่ระเบียบข้อบังคับจากหน่วยงานผู้กำกับดูแลและภาครัฐกำหนดให้การคุ้มครองข้อมูลความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้บริโภคเข้มข้น ประกอบกับการที่เทคโนโลยีเจน AI เข้ามาเปลี่ยนแปลงการค้นหาสิ่งต่างๆ บนโลกออนไลน์ ดังนั้นวีซ่าเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ช่วยปกป้องข้อมูลการชำระเงินของผู้บริโภคจะสามารถสร้างประสบการณ์ทางการค้าในยุคดิจิทัลให้ดียิ่งขึ้นอีก
กล่าวคือเทคโนโลยีโทเค็นของวีซ่าจะช่วยผู้บริโภคเป็นผู้กำหนดว่าข้อมูลของตนเองจะถูกแชร์ได้กับใครและที่ไหน และยังสามารถยกเลิกการแชร์ข้อมูลได้เองเพียงเข้าไปในแอปพลิเคชันธนาคาร นอกจากนั้นในส่วนของร้านค้าก็สามารถขอข้อมูลของผู้บริโภคจากวีซ่าและสถาบันการเงินที่ร่วมโครงการ เพื่อที่จะนำข้อมูลการใช้จ่ายไปวิเคราะห์ และนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่ตรงต่อความต้องการเฉพาะบุคคล ซึ่งในกรณีที่ผู้บริโภคยินยอม ส่วนหลังบ้านของวีซ่าจะส่งชุดข้อมูลแบบโทเค็นให้กับร้านค้าพร้อมกับข้อมูลการทำธุรกรรมที่ถูกประมวลด้วยระบบ AI เพื่อที่ร้านค้าออนไลน์จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ และสิทธิประโยชน์แบบเรียลไทม์แก่ผู้ซื้อ ซึ่งข้อมูลโทเค็นชุดเดียวกันจะถูกส่งไปยังธนาคารของลูกค้าเพื่อให้เห็นว่าข้อมูลใดถูกแชร์ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ว่ามีการแชร์ข้อมูลเกิดขึ้นที่ใด และผู้บริโภคก็สามารถเพิกถอนการแชร์ข้อมูลให้กับร้านค้าได้หากต้องการ