ในช่วงต้นปี 2563 โลกของเราต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบศตวรรษ อย่างไรก็ตาม รายงาน Global Connectedness Index ประจำปี 2565 ของดีเอชแอลเผยว่า “ธุรกิจค้าขายสินค้าเติบโตอย่างมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาด ซึ่งจะช่วยเกื้อหนุนให้เศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวได้ท่ามกลางปัญหาท้าทายที่เกี่ยวกับกำลังการผลิต และสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้า”
ขณะที่อีคอมเมิร์ซทั่วโลกมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และลูกค้ามีความคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นเกี่ยวกับการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วกว่าในราคาที่ต่ำ มีนวัตกรรมใหม่อะไรบ้างเกี่ยวกับลอจิสติกส์ และการจัดส่งที่ตอบสนองความต้องการดังกล่าว และต่อไปนี้คือ 6 เทรนด์สำคัญที่จะกำหนดทิศทางอนาคตของธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2565
การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นส่งผลให้ซัพพลายเชนทั่วโลกหยุดชะงัก และประสบปัญหาอย่างมากในการฟื้นฟูธุรกิจ การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ แรงงาน และวัตถุดิบ รวมถึงการตรวจตราชายแดนที่เข้มงวดรัดกุมมากขึ้น และภาวะเงินเฟ้อ ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นอุปสรรคที่ทำให้การค้าทั่วโลกหยุดชะงัก ดังจะเห็นได้จากปัญหาการจัดส่งที่ล่าช้าและมีสินค้าจำนวนมากที่ตกค้างอยู่ตามท่าเรือและจุดขนถ่ายสินค้าทั่วโลก และคาดว่าปัญหาเหล่านี้จะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2565
ด้วยเหตุนี้ องค์กรธุรกิจจึงต้องการระบบซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นและมีความคล่องตัวสูงสามารถปรับเปลี่ยนตามสภาวะตลาดในแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพราะแท้จริงแล้วลูกค้าไม่ได้สนใจเกี่ยวกับปัญหาซัพพลายเชนในวงกว้าง เพียงแต่ต้องการให้สินค้าที่สั่งซื้อไปส่งมาถึงตามกำหนดเวลา และถ้าแบรนด์ใดไม่สามารถทำตามได้ ลูกค้าก็มีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปซื้ออีก
ตรงจุดนี้เองที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซควรจะเอาต์ซอร์สงานลอจิสติกส์ให้แก่พาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการลอจิสติกส์บุคคลที่ห้า หรือ Fifth-Party Logistics (5PL) เช่น ดีเอชแอล เพราะทุกวันนี้ระบบซัพพลายเชนมีความซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นโมเดล 5PL จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในส่วนนี้ 5PL ทำหน้าที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านลอจิสติกส์ของลูกค้า โดยขั้นแรกจะระบุความต้องการของลูกค้า จากนั้นก็วางแผน ดำเนินการ และจัดการโซลูชั่นลอจิสติกส์ทั้งหมด พาร์ทเนอร์ 5PL มีขนาดธุรกิจและประสบการณ์ในการจัดหาและจัดการซัพพลายเออร์อื่นๆ ครอบคลุมทุกส่วนของซัพพลายเชน และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อปรับปรุงทุกช่องทางการติดต่ออย่างเหมาะสม กล่าวโดยสรุปก็คือ 5PL คือโซลูชั่นแบบครบวงจรที่ตอบทุกโจทย์ความต้องการด้านลอจิสติกส์ และช่วยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นตามกำหนดเวลา ในปี 2565 ขณะที่ซัพพลายเชนยังคงประสบปัญหาการหยุดชะงักอย่างต่อเนื่อง ผู้ให้บริการ 5PL จะมีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
บางครั้งธุรกิจอีคอมเมิร์ซอาจไม่สามารถคาดเดาได้ กระแสความนิยมใหม่ๆ ของผู้บริโภคอาจทำให้สินค้าบางอย่างขายดีจนหมดเกลี้ยง และทำให้ธุรกิจมีออเดอร์ล้นมือ ตรงจุดนี้เองลอจิสติกส์ที่ยืดหยุ่นจะมีประโยชน์อย่างมาก กล่าวคือ บริการลอจิสติกส์ที่มีความยืดหยุ่นสูงจะสามารถขยาย หรือปรับลดขนาดให้สอดคล้องกับความต้องการภายในซัพพลายเชน
ลอจิสติกส์ที่ยืดหยุ่นเกิดขึ้นได้โดยอาศัยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่สามารถคาดการณ์เกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน และสามารถระบุได้ว่าจะต้องปรับเพิ่มขยายหรือลดขนาดตรงจุดใดของซัพพลายเชนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ สำหรับการดำเนินงานภายในคลังสินค้า เทคโนโลยี AIจะรองรับกระบวนการอัตโนมัติ ทั้งในส่วนของการรับสินค้า การแพ็คสินค้า และการจัดการสินค้าคงคลัง ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาดำเนินการ ทำให้จัดส่งสินค้าได้เร็วขึ้น และช่วยให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสามารถนำเอาสินค้าออกจากรายการที่นำเสนอแก่ลูกค้าในกรณีที่มีสินค้าเหลืออยู่ในสต็อกไม่เพียงพอ เทคโนโลยี AI มีศักยภาพในการเพิ่มผลกำไรโดยเฉลี่ย 38 เปอร์เซ็นต์ และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 14 ล้านล้านดอลลาร์ใน 16 กลุ่มอุตสาหกรรมใน 12 ประเทศภายในปี 2578 สำหรับธุรกิจขนส่งและจัดเก็บสินค้า AI จะช่วยเพิ่มผลกำไรได้ประมาณ 44 เปอร์เซ็นต์
ที่สำคัญคือ ลอจิสติกส์ที่ยืดหยุ่นจะช่วยให้องค์กรธุรกิจตัดสินใจโดยคำนึงถึงซัพพลายได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย และลดการสิ้นเปลืองในทุกขั้นตอนของกระบวนการ และเมื่อภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีขีดความสามารถด้านการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น โมเดลลอจิสติกส์นี้ก็จะถูกนำไปใช้กับธุรกิจต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ปัญหาการขาดแคลนคนขับรถทวีความรุนแรงจนทำสถิติสูงสุดทั่วโลก และสถานการณ์นี้จะรุนแรงขึ้นในปี 2565 สมาคมรถบรรทุกของสหรัฐฯ ประเมินว่าในปี 2565 จะมีปัญหาขาดแคลนคนขับรถราว 90,000 คนในสหรัฐฯ ขณะที่ในยุโรป สถานการณ์ก็ไม่ต่างกัน โดย Transport Intelligence คาดการณ์ว่าในปัจจุบันยุโรปประสบปัญหาขาดแคลนคนขับรถราว 400,000 คน
อย่างไรก็ดี ตอนนี้มีเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่พร้อมสำหรับการขยายธุรกิจยานพาหนะไร้คนขับให้เติบโต โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 การลงทุนในบริษัทรถบรรทุกไร้คนขับมีมูลค่าสูงถึง 5.6 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะมีพัฒนาการอย่างเป็นรูปธรรมสำหรับภาคธุรกิจนี้ในปี 2565
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นอย่างมาก และทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้ จึงมีการคาดการณ์ว่าอีคอมเมิร์ซจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี 2565 โดยคาดว่ายอดขายอีคอมเมิร์ซจะแตะระดับ 5.4 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ตลาดอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศคาดว่าจะมีมูลค่า 1,508.7 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2570 เพิ่มขึ้นจากระดับ 532.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 15.5% ต่อปีในช่วงปี 2564-2570 ทั้งนี้ อีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศก่อให้เกิดประโยชน์มากมายต่อธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการขยายกิจการและเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าแก่ผู้บริโภคโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการซัพพลายเชนที่ซับซ้อน รายงานผลการศึกษาของดีเอชแอลคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจ B2B อีคอมเมิร์ซว่าภายในปี 2568 ราว 80% ของการซื้อขายแบบ B2B จะดำเนินการผ่านช่องทางดิจิทัล และกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียลจะกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเติบโตของอีคอมเมิร์ซทั่วโลก โดยครองสัดส่วนมากถึง 73% ของผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับการซื้อขายแบบ B2B อีคอมเมิร์ซ
ภายในคลังสินค้า การใช้โซลูชั่นหุ่นยนต์อัตโนมัติจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจ ตลาดหุ่นยนต์ช่วยงานคลังสินค้าอัตโนมัติทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเกือบสองเท่าภายในปี 2568 จนแตะระดับ 27.2 พันล้านดอลลาร์และในซัพพลายเชนอีคอมเมิร์ซซึ่งความเร็วถือเป็นเรื่องสำคัญ อาจใช้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าแบบอัตโนมัติภายในคลังสินค้าเพื่อค้นหา หยิบจับ และเคลื่อนย้ายสินค้าคงคลังไปตามจุดต่างๆ อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ตามกำหนดเวลา ตลาดหุ่นยนต์ลอจิสติกส์ทั่วโลกมีมูลค่า 11.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2564 และคาดว่าจะแตะระดับ 49.4 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2570
ท่ามกลางการเติบโตของอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสได้เปิดตัว DHLBot ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ช่วยจัดเรียงพัสดุอัตโนมัติในประเทศสิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ช่วยให้ฮับและเกตเวย์สามารถจัดการพัสดุที่มีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวมอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์
นี่คือคีย์เวิร์ดสำคัญสำหรับการคาดการณ์เทรนด์ด้านลอจิสติกส์และการจัดส่งสินค้าในปี 2564 และคาดว่าจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในปี 2565 ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ผู้บริโภคมีความคาดหวังมากขึ้นว่าแบรนด์ต่างๆ จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่เรื่องของบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ไปจนถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และองค์กรธุรกิจก็เริ่มตระหนักถึงประโยชน์ทางการเงินที่ได้รับจากการลดการสิ้นเปลืองในส่วนต่างๆ ของซัพพลายเชน
หนึ่งในตัวการสำคัญที่สุดที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนในซัพพลายเชนของธุรกิจอีคอมเมิร์ซก็คือ การขนส่งสินค้า โดยข้อมูลจาก Boston Consulting Group ระบุว่า กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าคิดเป็นสัดส่วน 17% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จึงมีการปรับใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแพร่หลายมากขึ้น ธนาคารเพื่อการลงทุน UBS ประเมินว่าภายในปี 2568 ราว 20% ของรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายทั่วโลกจะเป็นรถไฟฟ้า
สำหรับปีนี้ บริษัทขนาดใหญ่มุ่งเน้นเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน และการทำให้ซัพพลายเชนทั้งหมดมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายค่าบริการเพิ่มสำหรับการจัดส่งสินค้าด้วยวิธีที่ยั่งยืนกว่า การให้ความสำคัญกับกระแสบริโภคนิยมสีเขียว (Green Consumerism) สะท้อนได้ว่าแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะครองตลาดในหลายปีนับจากนี้
ดีเอชแอลตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าราว 60% ของการให้บริการแบบลาสไมล์โดยจะมีรถยนต์ไฟฟ้า 80,000 คันวิ่งตามท้องถนนภายในปี 2573 ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งในเป้าหมายของกลุ่มบริษัทที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากธุรกิจลอจิสติกส์ทั้งหมดให้เหลือศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2593 นอกจากนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 บริษัทฯ ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้านการบินด้วยการสั่งซื้อเครื่องบิน Alice eCargo ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด จำนวน 12 ลำ จากผู้ผลิตเครื่องบิน Eviation