ก่อนเข้ารีวิว ขอทำความเข้าใจ พูดคุยกับชาวหอ ชาวคอนโดให้สื่อสารตรงกันก่อน เพราะในระยะเวลา 2-3 ปีที่ 5G ใช้งานได้เป็นการทั่วไป ถึงขนาดที่ AIS 5G ประกาศว่า Coverage ไปแล้ว 87% ของประชากรทั้งประเทศนั้น ความคาดหวังของกลุ่มคนที่มีที่อยู่อาศัยที่ต้องมารวมกันมากๆอย่างหอพัก คอนโดสูงๆ ก็มีไอเดียว่า 5G คือคำตอบ นำเน็ตความเร็วสูงๆมาใช้แทน 4G ที่ใช้อยู่เดิม หรือ เน็ตมีสายทั้งแบบ FTTx หรือ vdsl เพราะยืดหยุ่นกว่าไม่ต้องสมัครใช้ระยะยาวเป็นปี หรือมีค่าบริการสูงๆใช้ไม่คุ้ม หลายคนอาจจะตกอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้
ในเรื่องนี้ต้องเรียงลำดับให้พิจารณาก่อนตัดสินใจว่า สำหรับคอนโด หอพัก หรือ Apartment นั้นมีข้อจำกัดหลายอย่างทำให้เน็ตไร้สายถูกลดทอนคุณภาพลงถึงขนาดที่จะใช้งานไม่ได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเน็ต 3/4G ที่มีคลื่นความถี่น้อย หมายถึงปริมาณ Bandwidth ทำให้ไม่สามารถทำให้ทุกคนใช้งานได้พร้อมกันในบริเวณเดียวกันได้ และคลื่น 5G ก็มีหลายคลื่นทั้งความถี่สูงมากความถี่สูง และความถี่ต่ำ 26GHz /2600MHz /700MHz (ความถี่ต่ำคือคลื่น 700MHz หรือ n28 ซึ่งมี Bandwidth น้อยคล้าย 4G จุดเด่นคือทะลุทะลวง ไปได้ไกล แต่ช่องสัญญาณน้อย ความเร็วไม่สูงมาก) ดังนั้นถ้าโชคดีมีบริการ 5G คลื่นสูงหรือ n41 (2600MHz) ให้บริการอยู่ก็เหมือนขึ้นสวรรค์ความเร็วที่ได้และความพร้อมใช้งานย่อมมีมากกว่า vdsl หรือ เน็ต 3/4G แน่นอน แต่ตัวเลือกที่ดีที่สุดแม้จะมี 5G คลื่นสูงใช้งานก็คือเน็ตบ้าน FTTx ดังนั้น ถ้ามีไฟเบอร์เข้าถึง แนะนำเลือกเป็นตัวเลือกแรกๆ และรองลงมาคือสำรวจว่า 5G คลื่นสูงเข้าถึงห้องเราหรือไม่ อาจทดสอบด้วยสปีดเทสจากมือถือ 5G ในช่วงเวลาที่ใช้งานประจำหรือปล่อย Hotspot ดูว่าลื่นไหล ใช้ได้ดีหรือไม่ ถ้า 5G เป็นคลื่นสูง ใช้งานได้ดี ก็วางแผนการต่อเรื่องการเลือกซื้อ Router 5G ได้เลย ส่วน 3/4G นั้นในปัจจุบันแม้อุปกรณ์จะราคาถูกลงมากแต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงระดับสูงที่จะใช้งานไม่ได้ในบางช่วงเวลาเพราะมีผู้ร่วมใช้งานจำนวนมาก (คลื่นมหาชน) ในขณะที่คลื่นความถี่มีไม่เพียงพอด้วยข้อจำกัดต่างๆซึ่งต่อมา 5G เข้ามาแก้ Pain Point นี้
มาเข้าเรื่องของเราวันนี้ เมื่อเข้าใจตรงกันแล้วว่า 5G ความถี่สูง (n41) นำมาซึ่งคุณภาพ สามารถใช้งานทดแทนเน็ตบ้านในหลายสถานการณ์ได้ TP-LINK NX510v เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เหตุด้วย TP-LINK มีความเชี่ยวชาญด้าน Wi-Fi Router มี eco-system ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เครือข่ายมากมายทุกชนิดมาเป็นเวลานาน พอมาเป็น 5G ก็มีความพร้อมทั้ง Application ที่เข้าใช้งานได้ง่ายคนไม่มีความรู้พื้นฐานด้านเครือข่ายอะไรเลยก็เข้าไปใช้งานได้ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ Router ของเจ้าอื่นยังตามในส่วนนี้ไม่ทัน นอกจาก App จะใช้ง่าย ครอบคลุมทุก function แล้ว ตัว Router 5G ก็มีฟีเจอร์และคุณสมบัติที่ใส่มาเยอะครบถ้วน เหมาะกับการใช้งานทั่วไปและการใช้งานแบบ Advance เป็นต้นว่าสามารถเลือกคลื่นความถี่เอง (manual) ได้ รองรับ 4G+ ถึง 3CA และมี Wi-Fi 6 แบบ HE160 หรือ Bandwith 160MHz เลือกช่องสัญญาณแบบอัติโนมัติหรือเลือกใช้เองทุกความถี่ และพร้อมต่อสายอากาศภายนอกเพิ่มความเข้มของสัญญาณ 4/5G รองรับการโทรเข้าออกได้ตลอดเวลา (VOLTE) ขณะเปิดใช้งาน ซึ่งเหล่านี้ถือว่า มาครบ มาเหนือกว่ายี่ห้ออื่นๆที่มีขายอยู่ในไทยตอนนี้
สำรวจสเปค NX510v
ตัวเครื่องนั้นรองรับการใช้งานคลื่น 5G ทั้งแบบ SA และ NSA ในไทยครบทุกย่านความถี่ คือ n41 n28 และ n1 ความเร็วสูงสุดเคลมไว้ที่ 3.4Gbps (NSA) รองรับคลื่น 4G+ แบบ 2/3CA ในแบบ TDD และ FDD ทุกคลื่นทุกค่ายที่ให้บริการในปัจจุบัน ขับเคลื่อนด้วย CPU/Modem แบบ Dual core 1 GHz
ในด้านการส่งสัญญาณไวไฟ ก็ให้มาสูงสุดที่ทำได้ของเทคโนโลยี Wi-Fi 6 (AX) สามารถส่งคลื่นกว้าง 160MHz ด้วย LinkSpeed 2.4Gbps บนมือถือ tablet Desktop หรือ Notebook ที่รองรับ HE160 ดังนั้นมั่นใจได้ 100% ว่าความเร็วเน็ตผ่านไวไฟที่อุปกรณ์จะได้รับนั้นเทียบเท่าการต่อสายแลนออกมาใช้งานได้แน่นอน ส่วนการปล่อยสัญญาณก็สามารถเลือกเปิดหรือปิดใช้บางคลื่น/ทุกคลื่นได้ สามารถใช้ SSID เดียวสลับความถี่อัติโนมัติได้ นอกจากนั้นยังสามารถทำเป็น Mesh Wi-Fi ร่วมกับ AP-Router รุ่นอื่นๆของ TP-Link เพื่อเพิ่มความครอบคลุมให้มากขึ้นได้
แกะกล่อง
เปิดกล่องมาเราก็จะได้ตัว Router 5G สีขาวมีขนาดไม่ใหญ่มาก เคลื่อนย้ายหรือนำไปใช้งานในต่างสถานที่ได้ง่าย น้ำหนักเบา มาพร้อม Adapter สีดำขนาด 2A และสายแลนยาว 1 เมตร มีสายโทรศัพท์เพื่อเสียบกับโทรศัพท์บ้าน คู่มือใช้งานอย่างง่ายพร้อมคำแนะนำการติดตั้งให้มาด้วย
ด้านหลังตัวเครื่อง เราดูตั้งแต่บนสุดลงไปจะมีช่องต่อสายอากาศภายนอก (External Antenna) 2 ช่อง มีปุ่มสำหรับใช้เข็มจิ้ม Reset อยู่ติดกับปุ่ม WPS เชื่อมต่อไวไฟกับอุปกรณ์ที่รองรับ WPS ไม่ต้องกรอก Password ถัดมาเป็นช่องต่อสายโทรศัพท์บ้านซึ่งใช้งานได้ผ่าน VOLTE หากซิมรองรับหรือมีนาทีโทร และช่องต่อสายแลนระดับ Gigabit 3 ช่อง ซึ่งช่องสุดท้ายสามารถต่อเน็ตบ้านเข้ามาใช้งานตามคุณสมบัติ Failover หรือการสลับใช้เน็ตจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งหากติดขัดใช้งานไม่ได้สลับให้แบบอัตโนมัติ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเสถียรภาพมีเน็ตพร้อมใช้ได้ตลอดเวลา มีปุ่มเปิดปิดและล่างสุดคือช่องเสียบสาย Adapter ขนาด 2A
การตั้งค่าการใช้งานครั้งแรก
จริงๆแล้ว NX510v แค่เอามาใส่ซิมก็พร้อมใช้งานได้ทันที ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม โดยระบบจะอ่านค่าซิมและตั้ง Profile APN ให้พร้อมใช้งาน โดยจุดใส่ซิมนั้นจะอยู่ใต้เครื่อง ประเภทซิมที่รองรับคือ nano sim เสียบลงไปตามรูป การถอดก็แค่กดให้ยุบลงแล้วเด้งออกมา ส่วนรหัสไวไฟเพื่อเข้าใช้งานครั้งแรกก็อยู่ตรงสติ๊กเกอร์ใต้เครื่องนี้เช่นกันเป็นตัวเลข ดังนั้น เสียบซิมเรียบร้อยแล้วจึงกดเปิดเครื่องแล้วเชื่อมต่อกับ SSID ที่มีคำว่า TPLINK ตามด้วยรหัสผ่านตรงจุดนี้ได้เลย
การตั้งค่าผ่าน App Aginet
App Aginet เป็น App ที่ TPLINK ทำออกมาให้รองรับการตั้งค่าอุปกรณ์ Router 5G โดยเฉพาะ ภายในจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกับ App TPLINK อื่น ๆ ที่คุ้นเคยใช้กันอย่าง Tether หรือ DECO
สำหรับ NX510v การตั้งค่าครั้งแรกก็แค่โหลด Aginet มาใช้งานจาก Appstore หรือ Playstore จากนั้นเชื่อมต่อ SSID ที่ขึ้นต้นด้วย TPLINK ให้เรียบร้อย (password อยู่ใต้เครื่อง) แล้วเปิด App ทำตามขั้นตอน 1-10 ดังภาพซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าใจง่าย หากต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆเช่นชื่อ SSID และรหัสผ่านก็สามารถกรอกแล้ว next ไปจนจบได้เลย
การตั้งค่า Wi-Fi 6 ขั้นสูง
เมื่อตั้งค่าการใช้งานครั้งแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากจะเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานผ่านไวไฟให้ได้ตรงความต้องการหรือลักษณะการใช้งาน บางท่านอาจไม่จำเป็นต้องใช้คลื่น 2.4GHz ก็สามารถเข้าไปปิดการใช้งานเฉพาะ 2.4GHz ได้ หรือจะเลือกช่องสัญญาณก็สามารถทำได้ผ่าน Aginet ได้ง่ายๆที่เมนู Wi-Fi Setting ซึ่งหัวข้อแรก Band steering หากเปิด จะทำให้ใช้งานทั้งคลื่น 2.4 และ 5GHz เป็นชื่อ SSID เดียวกัน ระบบจะเลือกคลื่นที่เหมาะสมให้เอง หากจะใช้งานแยกคลื่นแยกชื่อต้องปิดในส่วนนี้ สำหรับ 5GHz แบบ HE160 สามารถเลือกช่อง 36-64 และ 100-128 ได้ครบถ้วน และถ้าลดลงมาเหลือ 80MHz ก็จะได้ช่อง 149-161 เพิ่มขึ้นมาในตัวเลือก ในส่วนของรหัสผ่านความปลอดภัยก็รองรับสูงสุดระดับ WPA3 ซึ่งแนะนำให้เลือกใช้ WPA2 AES จะใช้ได้ครอบคลุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้มากกว่า ส่วนความเร็ว WPA3 และ WPA3 นั้นไม่มีความแตกต่าง
การตั้งค่าใช้งานเครือข่าย 4/5G
การตั้งค่าให้ใช้ 4/5G ขั้นสูงสำหรับผู้ใช้งานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญสูงขึ้นก็ทำได้ไม่ยากภายใน App Aginet สามารถเข้าไปเลือกหรือบังคับให้ตัว Router ใช้คลื่นใดคลื่นหนึ่งตามที่เราต้องการได้ผ่านเมนู Internet Connection โดยเลือกที่ Internet Setting จากนั้นจะขึ้นชื่อ Profile เครือข่ายที่เราใช้งาน ในส่วนของ Network Mode ตรงนี้สำคัญ เป็นจุดที่เราจะเลือกว่าจะใช้งาน 5G SA หรือ NSA โดยที่ 5G Preferred นั้นหมายถึง 5G NSA คือรวมคลื่นทั้ง 4G และ 5G เข้าด้วยกัน จะได้ความเร็ว DL และ UL รวมกัน แต่ในบางแห่ง การใช้งาน 4G มีความแออัดมากซึ่งถ้าเลือก NSA แล้วอาจจะใช้งานได้แบบติดขัด แนะนำให้ลองเปลี่ยนเป็น 5G Only ซึ่งหมายถึง 5G SA ตัวเลือกนี้จะใช้ 5G ล้วน ๆ ไม่รวม 4G ต้องมั่นใจว่าแพ็กเกจที่เราสมัครกับซิมที่ใช้นั้นรองรับ SA ด้วยไม่เช่นนั้นจะค้นหาสัญญาณไม่เจอ ในส่วนของ 4G+ ก็เช่นกัน หากเลือก 4G Only ก็จะไม่รวมคลื่น เป็นการใช้ 4G คลื่นเดียว ถ้าจะให้ทำ 2/3CA ใช้ได้ให้ตั้งค่าไปที่ 4G Preferred นอกจากนี้ยังสามารถเลือก Band แบบ Manual ได้ทั้ง 4G และ 5G เมื่อทำการ Search จะแสดงรายชื่อคลื่นที่พบบริเวณนั้นให้เราเลือกขึ้นมาใช้งาน อย่าง 5G ก็จะเจอทั้ง N41 ที่เป็นคลื่นสูง และ N28 ที่เป็นคลื่นต่ำ หากเราอยากบังคับให้ใช้คลื่นสูงอย่างเดียวเพื่อให้ได้ความเร็วแรงๆ ก็ Manual ไปที่ N41 ได้เลย นอกจากนี้ยังแสดงรายละเอียดคลื่นที่เราใช้งานอยู่เป็นระดับความแรง คุณภาพ ความถี่ Bandwidth CellID และยังสามารถกำหนดให้เน็ตที่ใช้เป็นหลักเป็นจากซิมหรือจากเน็ตบ้าน (FailOver) รวมถึงตั้ง Limit ปริมาณการใช้งานล่วงหน้าให้หากใช้ครบจำนวน xx GB แล้วเน็ตจะตัดแบบนี้ก็สามารถทำได้
การตั้งค่าอื่น ๆ
ภายใน App Aginet นอกจากตั้งค่าเครือข่ายและไวไฟแล้ว ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ หรือลูกเล่นให้ใช้งานได้แบบครบเครื่อง ทั้งการตั้งให้ Reboot เองทุกวันหรือตามเวลาที่ต้องการ สามารถตั้งค่าให้เปิด ปิดไฟ LED ตลอดเวลาหรือบางเวลาที่อาจรบกวนสายตาในเวลากลางคืน รวมถึงการรับและส่ง SMS การกด USSD เพื่อสมัครบริการต่าง ๆ โดยไม่ต้องถอดซิมไปใส่เครื่องอื่น การอัพเดท Firmware แบบอัติโนมัติหรือ refresh เอง การสั่ง Reboot ตัวเครื่อง การดูรายละเอียดการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ต่าง ๆที่เข้ามาใช้งานเช่นระดับความแรงของไวไฟ ช่องสัญญาณที่ใช้ หรือให้ Priority ด้วยการ QOS เป็นรายอุปกรณ์โดยตรงก็สามารถทำได้ และสำหรับผู้ปกครองก็ใช้งาน Parental Controls ควบคุมเนื้อหาสำหรับเด็กได้ด้วย
การทดสอบประสิทธิภาพ 5G
สำหรับความเร็ว 5G ทดสอบจากซิม AIS 5G ที่ใช้งานได้ความเร็วสูงสุดไม่จำกัดปริมาณ เชื่อมต่อผ่านไวไฟ กับ vivo X90ProPlus ได้ LinkSpeed 5GHz ที่ 2.4Gbps
เราแบ่งการทดสอบ 5G ออกเป็น 2 Mode ในการใช้งาน แบบแรก 5G SA เลือกเป็น 5G Only ได้ความเร็ว DL ที่ 647Mbps และ Upload แบบ 2x2MIMO ที่ 117Mbps ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับความเร็ว 5G ที่ได้จากมือถือ 5G ระดับเรือธง
ในส่วนของ 5G NSA ซึ่งได้ความเร็วจากทั้ง 4G และ 5G มารวมกัน ซึ่งตรงจุดที่ทดสอบจะเป็นคลื่น 4G 1800+2100 และ 5G 2600 เราได้ความเร็วค่อนข้างสูงกว่า SA พอสมควรที่ DL 712Mbps และ UL 122Mbps ส่วน Latency 24ms เท่ากับแบบ SA
การทดสอบประสิทธิภาพ 4G/4G+
นอกจากความเร็ว 5G ที่ทำได้ดีแล้ว การเลือกคลื่น 4G แบบ Auto 3CA และเลือกคลื่นแบบ Manual ก็ทำได้ดีเช่นกัน สะดวกในกรณีที่เราต้องการใช้คลื่นใดคลื่นนึงที่มี Bandwidth สูงหรือให้ค่า UL ที่ดีกว่าอีกคลื่นที่การตั้งค่าแบบ Auto เลือกมาให้ใช้
ทดสอบเลือกคลื่นต่ำซึ่งมีโอกาสพบเจอได้ทุกที่ 700MHz สามารถทะลุทะลวงได้ทุกสภาพการใช้งานแต่ข้อเสียคือมี Bandwidth น้อย ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นไม่แนะนำให้เลือกใช้งานเว้นแต่คลื่นอื่น ๆ สัญญาณอ่อนไม่เสถียรก็สามารถ Manual มา B28 ได้ซึ่ง NX510v ก็สามารถใช้งานได้ดีทั้งขา DL และ UL
ทดสอบเลือกคลื่นสูงแบบ 4G ซึ่งใช้งานแบบ TDD คือคลื่น B41 มักจะปล่อยออกมาพร้อมกับคลื่น 5G ทั้ง AIS และ TRUE ส่วนใหญ่มีการใช้งานไม่หนาแน่น เป็นอีกคลื่นที่สามารถเลือกมาลองใช้งานได้ โดยข้อดีที่ NX510v ทำได้เต็มประสิทธิภาพคือในขา UL เป็นแบบ MIMO 2×2
ในส่วนสุดท้ายในการวัดประสิทธิภาพคือ 4G+ 3CA คือรองรับการใช้งานการรวมคลื่นถึง 3 คลื่นความถี่พร้อมกัน ในจุดที่ทดสอบนี้ AIS ให้บริการคลื่น 1800,2100 และ 900 MHz รวมทั้งสิ้น 40MHz เราได้ความเร็วสูงสุดถึง 225Mbps และ UL ที่ 77Mbps ซึ่งเมื่อดูจาก App Aginet ก็แสดงสถานะได้ถูกต้องขึ้นคำว่า 4G+
การทดสอบสัญญาณไวไฟ
Wi-Fi HE160 ที่ปล่อยออกมานั้นมีระยะทำการที่ไปได้ไกลและมีเสถียรภาพสูง ถ้าเทียบกับ Router 5G ในยี่ห้ออื่น ๆ ที่ทดสอบผ่านมาต้องถือว่า NX510v ทำ Coverage ได้ทะลุทะลวงได้สูงสุด ให้ความเร็วที่ได้จาก 5G ออกมาได้ครบถ้วนเหมือนเสียบสายแลนได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังขยายเพิ่มได้อีกผ่าน Mesh ซึ่งไม่มีแบรนด์ไหนทำแบบนี้ได้
บทสรุป
NX510v ด้วยค่าตัว 9990 บาทกับฟีเจอร์ที่อัดมาเต็ม มาแน่นนั้น มั่นใจว่าถูกและโดนใจชาวหอ ชาวคอนโดหลาย ๆ คน ใช้งานในระยะยาวได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถพลิกแพลง ปรับตั้งค่าที่เหมาะสมกับการใช้งานด้วยตนเองได้ลงตัวที่สุด ทั้งยังสามารถรองรับเน็ต 5G ความเร็วสูงทั้ง SA และ NSA รวมถึง 4G+ 2/3CA ได้ครบทุกคลื่น สามารถใช้งานการโทรออกแบบ VOLTE ด้วยการต่อกับโทรศัพท์บ้าน พร้อมมีช่องเสียบสายอากาศภายนอกเพิ่มความเข้มของสัญญาณได้อีก ผลทดสอบประสิทธิภาพก็ทำออกมาได้ผลดีทั้ง 4G/4G+/5G ถ้าถามว่าข้อเสียคืออะไรก็คงตอบได้ว่ามีแค่การไม่สามารถทำ 5G CA หรือรวมคลื่น 5G ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นเท่าไรนักเพราะถ้าเทียบกับ 5G NSA ก็สามารถรวมคลื่น 4 และ 5G เข้าด้วยกันได้ความเร็วที่สูงกว่า SA เป็นส่วนใหญ่แล้ว….
อ่านข้อมูล TP-Link NX510v เพิ่มเติมได้ที่
Website: https://bit.ly/3C75666
สั่งซื้อเราเตอร์ 5G TP-Link NX510v ได้ที่
Shopee: https://bit.ly/3N5Ag3U
Lazada: https://bit.ly/43yNdc7